แสดงกระทู้

This section allows you to view all posts made by this member. Note that you can only see posts made in areas you currently have access to.


Messages - siritidaphon

หน้า: [1] 2 3 ... 46
1
“สร้างเงินแสนจากครัวที่บ้าน” สไตล์ครูแมกซ์

จุดเริ่มต้นเพียงแค่ไม่มีใจรักการเป็นลูกน้อง และไม่ชอบการทำงานในองค์กร บวกกับมีความตั้งใจที่ว่า อยากฝึกทักษะการทำอาหารไว้ทำให้คุณพ่อคุณแม่ทานตอนท่านแก่
พร้อมกับคำพูดของคุณแม่ที่ชอบบอกว่า “การขายของมันได้จับเงินทุกวัน” นั่นคือจุดตัดสินใจ

ครูแมกซ์
จุดเริ่มต้นง่ายๆก็เริ่มจากการเรียนรู้จากคุณแม่ของครูแมกซ์เอง ท่านเป็นคนทำอาหารไทยอร่อย และเคยเปิดร้านอาหารมาก่อนตอนครูแมกซ์เด็กๆ
โดยใช้การถาม สังเกตอย่างละเอียด และฝึกชิมรสชาติของอาหารที่แท้จริง (เพราะคุณแม่ไม่เคยชั่งตวงวัดแม่บอกชิมให้เป็นไม่ต้องมาถามสูตร555)
ร่วมกับการเรียนรู้ผ่านสื่อออนไลน์ เช่น ยูทูป ดูทุกวันตลอดระยะเวลา 8-10ปี พร้อมกับการซื้อวัตถุดิบมาลงมือทำจริง ชิมจริง ทำให้คคุณแม่ทานจริง

ครูแมกซ์
จนถึงจุดที่มั่นใจแล้วว่า…จะทำอาหารเพื่อสร้างรายได้เริ่มง่ายๆจากครัวที่บ้าน
จากประสบการณ์ตลอดระยะเวลา15ปี ที่ครูแมกซ์มีรายได้จากอาหาร ไม่ว่าจะเป็นการยืนขายสลัดริมถนนหน้าตึกชาญอิสะ2 เปิดรับออเดอร์ลุกค้าในหมู่บ้าน การพรีออเดอร์ผ่านทางโซเชียลมีเดีย หรือแม้กระทั่งการออกบูทตามห้างดังต่างๆ

ทั้งหมดนี้ผ่านการทำจริง ได้ผลลัพธ์จริงมาทั้งหมดแล้วด้วยตัวครูแมกซ์เองคนเดียว (แบบไม่เลือกการมีลูกน้อง)

จึงมั่นใจมากว่าจากประสบการณ์ทั้งหมดที่ครูแมกซ์สั่งสมมาตลอดจนถึงวันนี้

ไข่เจียว
ครูแมกซ์ได้พิสูจน์แล้วว่า…การสร้างเงินแสนจากครัวที่บ้าน “มันทำได้จริง”
ครูแมกซ์ก็พร้อมที่จะถ่ายทอดทุกสูตรลัด แบไต๋ทุกเคล็ดลับให้คุณแบบหมดเปลือก!!  !!ความตั้งใจนั้นมันก็ได้เกิด”ผลลัพธ์”กับลูกศิษย์ครูแมกซ์เรียบร้อยแล้ว

📌น้องมิ้นท์ นักเรียนคอร์สไพรเวทจับมือทำรอบสด
ลาออกจากงานประจำเพื่อมาเปิดร้านขายอาหาร หลังจากเรียนกับครูแมกซ์ไปเพียงแค่3วัน น้องได้จับเงินบาทแรกจากอาหารทันที!!
โดยเปิดรับพรีออเดอร์จากอาพาร์ทเมนต์ (โดยมีครูแมกซ์เป็นที่ปรึกษาตลอด1เดือนเต็ม) เริ่มจากเมนูง่ายๆที่ครูแมกซ์เลือกให้เป็นเมนูประจำร้าน คือ “เมนูไข่ฟูหมูฉ่ำนัว”

‼️ล่าสุดเพียงแค่ 2เดือน ยอดขายเดือนกุมภาพันธ์ 68
สรุปได้ยอดขาย 60,000 บาท (ทำด้วยตัวคนเดียว)

📌น้องเติ๊ด นักเรียนคอร์สออนไลน์
เป็นพนักงานประจำหัวหน้าแผนกHR อยากหาอาชีพเสริมเพื่อวางแผนลาออกจากงานประจำ หลังจากเรียนคอร์สครูแมกซ์ภายใน 7 วัน น้องได้จับเงินบาทแรกจากอาหารทันที!!
โดยเปิดรับออเดอร์ที่คอนโด เริ่มจากเมนูง่ายๆที่เรียนจากคอร์สสูตรกะเพรา กับ คอร์ส10เมนูไข่ทำง่ายรายได้ปัง เมนูประจำร้าน คือ “เมนูข้าวไข่เจียว ไข่ข้น”
‼️ล่าสุดเพียงแค่ 2เดือน ยอดขายได้มากกว่าเงินเดือนประจำเป็นที่เรียนร้อยแล้ว พร้อมกับยื่นใบลาออก (แต่นายยังไม่อนุมัติ)


สนใจติดต่อสอบถามข้อมูล
ไลน์ ID  :  @krumax
Page FB : https://web.facebook.com/profile.php?id=61569480015186
เว็บไซด์ : https://krumax.net/krumaxcourse/
เบอร์โทร : 081-413-4479


2
ผลกระทบที่เกิดขึ้นจากเสียงดัง
ในโรงงานอุตสาหกรรม
โรงงานหรือสถานประกอบกิจการที่มีปัญหาด้านเสียงเกินค่ามาตรฐาน อาจสร้างผลกระทบทั้งด้านอาชีวอนามัยและความปลอดภัยในการทำงานต่อพนักงานในโรงงานเอง หรืออาจก่อให้เกิดมลพิษทางเสียงต่อชุมชนและสภาพแวดล้อมที่อยู่ด้านนอกโรงงาน หากเจ้าของแหล่งกำเนิดเสียงหรือผู้เกี่ยวข้องปล่อยปละละเลย ไม่จัดทำโครงการควบคุมเสียงหรือแก้ไขปัญหาดังกล่าวไม่สำเร็จ จะทำให้มีผลกระทบตามมา เช่น

•   เป็นผู้กระทำผิดกฎหมายด้านเสียง มีทั้งโทษปรับและจำคุก
•   ลูกจ้างอาจเกิดภาวะสูญเสียการได้ยินแบบชั่วคราวหรือแบบถาวร
•   ประสิทธิภาพการทำงานของพนักงานลดลงจากเสียงเกินค่ามาตรฐาน
•   ถูกร้องเรียนจากชุมชนหรือผู้ได้รับผลกระทบทางเสียงที่อยู่นอกโรงงาน
•   โรงงานหรือสถานประกอบกิจการอาจถูกสั่งปิดปรับปรุง จนกว่าจะแก้ไขแล้วเสร็จ

ทำไมต้องใช้บริการจาก
"NEWTECH INSULATION" ในการควบคุมเสียง?
ด้วยประสบการณ์กว่า 15 ปี ในการควบคุมเสียงอุตสาหกรรม เรามีความพร้อมทั้งด้านบุคลากรเฉพาะทางที่มีความรู้ด้านเสียงและความสั่นสะเทือน เครื่องมืออันทันสมัยที่ได้มาตรฐานตามที่กฎหมายกำหนด รวมถึงประสบการณ์ด้านการแก้ไขปัญหาเสียงอุตสาหกรรมที่มีทั้งในและต่างประเทศ ผู้ใช้บริการจึงมั่นใจได้ว่าปัญหาด้านเสียงในโรงงานหรือสถานประกอบกิจการจะได้รับการแก้ไขได้อย่างตรงจุด ด้วยค่าใช้จ่ายที่น้อยที่สุด เพราะเราเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านการควบคุมเสียงในอุตสาหกรรม
– บริษัทฯ ขึ้นทะเบียนและได้รับใบอนุญาตเป็นนิติบุคคลผู้ให้บริการตรวจวัดและวิเคราะห์สภาวะการทำงานเกี่ยวกับระดับเสียง โดยกรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน
– บุคลากรของบริษัทฯ ได้รับใบอนุญาตเป็นผู้ควบคุมมลพิษเสียงและความสั่นสะเทือน จากสภาวิชาชีพวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
– มีทีมงานที่มากประสบการณ์และความรู้ ได้แก่ วิศวกร นักสิ่งแวดล้อมอุตสาหกรรม เจ้าหน้าที่ความปลอดภัยในการทำงาน ช่างเทคนิค รวมไปถึงช่างประกอบและติดตั้งระบบควบคุมเสียง
– มีเครื่องมือที่ได้มาตรฐานไว้ให้บริการทั้งด้านฮาร์ดแวร์และซอฟต์แวร์
– มีสินค้าสำหรับควบคุมเสียงและความสั่นสะเทือนให้เลือกหลากหลายรูปแบบ เช่น ผนังกันเสียง ห้องเก็บเสียง ม่านกันเสียง ตู้ครอบลดเสียง แจ็คเก็ตลดเสียง ไซเลนเซอร์ อคูสติคลูเวอร์ อุปกรณ์แยกความสั่นสะเทือน เป็นต้น
– มีการประเมินหรือทำตัวแบบจำลองระดับเสียง ก่อน-หลัง ปรับปรุงให้ลูกค้าใช้เป็นข้อมูลในการตัดสินใจ ช่วยประหยัดค่าใช้จ่ายและเวลาในการแก้ปัญหาด้านเสียง
– รับประกันระดับเสียงที่ลดลง อยู่ในเกณฑ์ที่กฎหมายกำหนด
– รับประกันคุณภาพสินค้าและฝีมือการติดตั้งทุกงาน

บริษัท นิวเทค อินซูเลชั่น จำกัด
ผู้เชี่ยวชาญด้านการควบคุมเสียงในโรงงานอุตสาหกรรม
จากประสบการณ์ในการแก้ไขปัญหาด้านเสียงมายาวนาน ไม่ว่าจะเป็นเสียงทางอาชีวอนามัยและความปลอดภัยในการทำงาน และเสียงทางสิ่งแวดล้อม
ทางบริษัทฯ ยินดีให้คำแนะนำที่ทำได้จริงสำหรับการแก้ปัญหาด้านมลภาวะทางเสียงที่เกิดขึ้น เพื่อให้ทั้งโรงงาน พนักงาน หรือชุมชนโดยรอบอยู่ร่วมกันได้
"เพราะเรา...เข้าใจเรื่องเสียง"

สนใจสั่งซื้อ
เบอร์โทร:  02-583-8035 , 02-583-8034, 098-995-4650
E-mail: contact@newtechinsulation.com
Line ID: @newtechinsulation
Facebook: newtechthai
Instagram: newtechinsulation
เว็บไซด์: https://www.noisecontrol365.com/


3
อาหารไทยเป็นหนึ่งในธุรกิจที่เสริมสร้างรายได้ ให้มีรายได้ประจำแหล่งรายได้ที่ยั่งยืน

อาหารไทยเป็นที่รู้จักและชื่นชอบไปทั่วโลก ด้วยรสชาติที่เป็นเอกลักษณ์และความหลากหลายของเมนู ทำให้ธุรกิจอาหารไทยเป็นหนึ่งในธุรกิจที่น่าสนใจและสามารถสร้างรายได้ประจำได้เป็นอย่างดี อาหารไทยเป็นโอกาสทางธุรกิจที่ยอดเยี่ยม ไม่ว่าคุณจะหลงใหลในการทำอาหารหรือกำลังมองหาธุรกิจที่ทำกำไร การเริ่มต้นธุรกิจอาหารไทยสามารถสร้างรายได้ที่มั่นคงได้

ตั้งแต่แผงขายอาหารริมทางไปจนถึงร้านอาหารและการจัดส่งอาหารออนไลน์ มีหลากหลายวิธีในการเปลี่ยนอาหารไทยให้เป็นอาชีพที่ยั่งยืน

เพราะเหตุใดอาหารไทยจึงเป็นธุรกิจที่ทำกำไร?

อาหารไทยได้รับความนิยมทั่วโลกเนื่องจากมีรสชาติที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัว คือ หวาน เปรี้ยว เผ็ด เค็ม และอูมามิ ความต้องการอาหารไทยแท้ๆ กำลังเพิ่มขึ้นไม่เพียงแต่ในประเทศไทยเท่านั้น แต่ยังรวมถึงต่างประเทศด้วย ด้วยต้นทุนเริ่มต้นที่ค่อนข้างต่ำและฐานลูกค้าที่กว้างขวาง ธุรกิจอาหารไทยจึงสามารถสร้างรายได้ที่สม่ำเสมอได้

อาหารไทยยอดนิยมสำหรับธุรกิจอาหาร
หากคุณกำลังคิดจะเริ่มต้นธุรกิจอาหารไทย ต่อไปนี้เป็นเมนูยอดนิยมบางส่วนที่สามารถช่วยดึงดูดลูกค้าได้:
ผัดไทย – เมนูที่ได้รับความนิยมทั้งในหมู่คนในท้องถิ่นและนักท่องเที่ยว ทำง่ายและขายได้ในปริมาณมาก
ต้มยำกุ้ง – เมนูรสชาติจัดจ้าน หอมกลิ่นเครื่องเทศ เป็นเอกลักษณ์ของอาหารไทย
ส้มตำ – เมนูสดชื่นๆ ที่ใช้วัตถุดิบง่ายๆ และทำง่าย
ข้าวมันไก่ – อาหารธรรมดาๆ แต่แสนอร่อยที่ถูกใจคนจำนวนมาก
หมูปิ้ง – อาหารริมทางยอดนิยม ทำง่ายและขายได้ปริมาณมาก
ขนมไทย – ขนมไทยแบบดั้งเดิม เช่น ข้าวเหนียวมะม่วง และพุดดิ้งมะพร้าว เป็นที่ต้องการอย่างมาก

ขั้นตอนการเริ่มต้นธุรกิจอาหารไทย
เลือกโมเดลธุรกิจของคุณ – ตัดสินใจว่าคุณต้องการดำเนินกิจการแผงขายอาหาร ร้านอาหาร บริการจัดเลี้ยง หรือธุรกิจจัดส่งอาหารออนไลน์
เรียนรู้สูตรอาหาร – เชี่ยวชาญเทคนิคการทำอาหารไทยแท้เพื่อให้ได้อาหารคุณภาพสูง
วัตถุดิบที่มา – ใช้วัตถุดิบสดและคุณภาพสูงเพื่อคงรสชาติอันเข้มข้นของอาหารไทย
รับใบอนุญาตที่จำเป็น – รับใบอนุญาตด้านสุขภาพและธุรกิจเพื่อดำเนินการอย่างถูกกฎหมาย
เลือกทำเลที่ตั้งที่ดี – พื้นที่ที่มีการสัญจรสูง เช่น ตลาด ห้างสรรพสินค้า หรือใกล้สำนักงาน สามารถเพิ่มยอดขายได้
ทำตลาดธุรกิจของคุณ – ใช้โซเชียลมีเดีย โปรโมชั่น และการมีส่วนร่วมของลูกค้าเพื่อดึงดูดลูกค้าให้มากขึ้น

การขยายธุรกิจอาหารไทยของคุณ
เมื่อธุรกิจของคุณมั่นคงแล้ว พิจารณาขยายโดย:
ให้บริการจัดส่งอาหาร
การเป็นพันธมิตรกับแอปส่งอาหาร
การสร้างบริการจัดเลี้ยงสำหรับงานต่างๆ
จำหน่ายเครื่องปรุงอาหารไทยสำเร็จรูป หรือ ชุดทำอาหารไทยสำเร็จรูป

เปิดสาขาในสถานที่ใหม่
ตัวอย่างธุรกิจอาหารไทยที่ประสบความสำเร็จ:
ร้านอาหาร “บ้านไอซ์” ที่มีชื่อเสียงในเรื่องอาหารไทยรสชาติต้นตำรับ
ธุรกิจ “ครัววันดี” ที่จำหน่ายเครื่องแกงและน้ำพริกคุณภาพดี
แฟรนไชส์ “ธงไชย ผัดไทย” ที่ประสบความสำเร็จอย่างมาก
การทำธุรกิจอาหารไทยให้ประสบความสำเร็จต้องอาศัยความรักในอาหารไทย ความมุ่งมั่น และความอดทน หากคุณมีใจรักในอาหารไทยและมีความตั้งใจจริง คุณก็สามารถสร้างรายได้ประจำจากธุรกิจอาหารไทยได้อย่างแน่นอน

การเริ่มต้นธุรกิจอาหารไทยถือเป็นโอกาสอันคุ้มค่าสำหรับผู้ที่หลงใหลในการทำอาหารและการเป็นผู้ประกอบการ ด้วยการวางแผนอย่างรอบคอบ วัตถุดิบคุณภาพสูง และกลยุทธ์การตลาดที่ดี คุณสามารถเปลี่ยนอาหารไทยให้กลายเป็นแหล่งรายได้ที่ยั่งยืนได้ ไม่ว่าจะในประเทศไทยหรือต่างประเทศ ความรักที่มีต่ออาหารไทยยังคงเติบโตอย่างต่อเนื่อง ซึ่งจะทำให้ประสบความสำเร็จในอุตสาหกรรมอาหารได้ในระยะยาว

4
ตรวจอาการเบื้องต้นด้วยตนเอง: ภาวะน้ำตาลในเลือดต่ำ (Hypoglycemia)

ภาวะน้ำตาลในเลือดต่ำ หมายถึง ภาวะที่ผู้ป่วยมีระดับน้ำตาล หรือกลูโคส (glucose) ในเลือดต่ำกว่าปกติ (ระดับน้ำตาลในเลือดต่ำกว่า 50 มก./ดล.)

ถือเป็นภาวะที่ร้ายแรง หากไม่ได้รับการรักษาอย่างทันท่วงทีอาจเป็นอันตรายได้


สาเหตุ

อาจมีสาเหตุได้หลายอย่าง เช่น

1. พบหลังดื่มแอลกอฮอล์จัด อดข้าว มีไข้สูง หรือออกกำลังมากไป

2. ผู้ป่วยเบาหวานที่กำลังได้รับยาเบาหวาน บางครั้งกินอาหารน้อยไปหรือกินอาหารผิดเวลา หรือออกแรงกายมากไปกว่าที่เคยทำอยู่ หรือใช้ยาเกินขนาด ก็อาจทำให้เกิดภาวะน้ำตาลในเลือดต่ำได้ ผู้ป่วยที่กินยาเม็ดรักษาเบาหวานในตอนเช้า มักจะมีอาการตอนเช้ามืดของวันรุ่งขึ้น ส่วนผู้ป่วยที่ฉีดอินซูลินตอนเช้า มักจะมีอาการตอนบ่าย ๆ

3. พบในทารกแรกคลอดที่มารดาเป็นเบาหวาน หรือทารกมีน้ำหนักน้อย (ดู ภาวะชักในทารกแรกเกิด)

4. ผู้หญิงที่ตั้งครรภ์ บางรายก็อาจมีภาวะน้ำตาลในเลือดต่ำเป็นครั้งคราวได้ เนื่องจากร่างกายมีการใช้น้ำตาลมากขึ้น

5. ผู้ป่วยที่ผ่าตัดกระเพาะอาหารออกไปแล้ว อาจเกิดภาวะนี้ได้บ่อย ๆ โดยมากจะเกิดหลังกินอาหาร 2-4 ชั่วโมง เนื่องจากลำไส้มีการดูดซึมน้ำตาลเร็วเกินไป ซึ่งจะไปกระตุ้นให้ตับอ่อนหลั่งอินซูลินออกมาเป็นจำนวนมาก ทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดลดลง เรียกว่า “Dumping syndrome”

6. ถ้าเป็นอยู่บ่อย ๆ อาจมีสาเหตุจากโรคตับเรื้อรัง มะเร็งตับอ่อนชนิดอินซูลิโนมา (insulinoma) มะเร็งต่าง ๆ โรคแอดดิสัน เป็นต้น


อาการ

ผู้ป่วยจะมีอาการอ่อนเพลีย วิงเวียน หน้ามืด ตาลาย ใจหวิว ใจสั่น มือสั่น เหงื่อออก รู้สึกหิว

บางรายอาจมีอาการปวดศีรษะ ซึม กระสับกระส่าย พูดอ้อแอ้ แขนขาอ่อนแรง ปากชา มือชา พูดเพ้อ เอะอะโวยวาย ก้าวร้าว ลืมตัว หรือทำอะไรแปลก ๆ (คล้ายคนเมาเหล้า)

ถ้าเป็นรุนแรง อาจมีอาการชัก หมดสติ

ในรายที่เกิดจากการดื่มแอลกอฮอล์ ผู้ป่วยอาจมีอาการตัวเย็นชืด แขนขาเกร็ง ขากรรไกรแข็ง


ภาวะแทรกซ้อน

หากปล่อยให้หมดสติอยู่นาน หรือเป็นอยู่ซ้ำ ๆ จะทำให้สมองพิการ ความจำเสื่อม บุคลิกภาพเปลี่ยนไปจากเดิม วิกลจริต

บางรายอาจหลับไม่ตื่นเนื่องจากสมองพิการอย่างถาวร


การวินิจฉัย

แพทย์จะวินิจฉัยจากอาการและสิ่งตรวจพบดังนี้

เหงื่อออก มือเท้าเย็น อาจมีอาการชักหรือหมดสติ ชีพจรมักจะมีลักษณะเบาเร็ว บางรายอาจพบความดันเลือดต่ำ

รูม่านตามักจะมีขนาดปกติ และหดลงเมื่อถูกแสง

แพทย์จะทำการวินิจฉัยให้แน่ชัดด้วยการตรวจระดับน้ำตาลในเลือด ซึ่งจะพบว่าต่ำกว่าปกติ (มักจะพบต่ำกว่า 50 มก./ดล. ในรายที่เป็นมากอาจต่ำกว่า 20 มก./ดล.)


การรักษาโดยแพทย์

แพทย์จะให้การดูแลรักษา ดังนี้

1. ถ้าหมดสติ แพทย์จะให้ฉีดกลูโคสขนาด 50% จำนวน 50-100 มล. เข้าทางหลอดเลือดดำ หากผู้ป่วยฟื้นแล้ว แต่ยังกินไม่ค่อยได้ ก็จะให้เดกซ์โทรส 5% (5% D/W) เข้าทางหลอดเลือดดำจำนวน 500-1,000 มล.

2. ถ้าผู้ป่วยยังรู้สึกตัวและกินได้ แพทย์จะให้กินน้ำหวาน หรือกลูโคส

3. แพทย์จะตรวจหาสาเหตุ และให้การรักษาตามสาเหตุที่พบ


การดูแลตนเอง

ผู้ที่มีอาการอ่อนเพลีย วิงเวียน หน้ามืด ตาลาย ใจหวิว ใจสั่น มือสั่น เหงื่อออก รู้สึกหิว หรือสงสัยมีภาวะน้ำตาลในเลือดต่ำ (เช่น พบในผู้ที่กำลังรักษาโรคเบาหวาน อดข้าว หรือ ดื่มแอลกอฮอล์จัด) ควรรีบกินน้ำตาล ของหวาน หรือลูกอม หากทุเลาทันที ก็แสดงว่าเป็นภาวะนี้ ต่อไปควรหาทางป้องกันไม่ให้กำเริบอีก

ควรปรึกษาแพทย์ ถ้ามีลักษณะข้อใดข้อหนึ่งดังต่อไปนี้

    มีอาการชัก ซึมมาก หรือหมดสติ
    กินน้ำตาล ของหวาน หรือลูกอมแล้วไม่ทุเลา
    เป็น ๆ หาย ๆ บ่อย
    มีความวิตกกังวล หรือไม่มั่นใจที่จะดูแลตนเอง

การป้องกัน

    ผู้ป่วยเบาหวานที่ใช้ยาเบาหวานรักษา ต้องปรับอาหารการกินและการออกกำลังกาย (การใช้แรงกาย) ให้พอเหมาะ อย่าอดอาหาร อย่ากินอาหารผิดเวลา อย่าใช้แรงกายหักโหมหรือหนักกว่าที่เคยทำ ข้อสำคัญอย่าใช้ยาเกินขนาดที่แพทย์สั่ง และพกน้ำตาล ของหวานหรือลูกอมติดตัวไว้แก้ไขเมื่อเริ่มรู้สึกมีอาการน้ำตาลในเลือดต่ำ
    หลีกเลี่ยงการดื่มแอลกอฮอล์จัด
    กินอาหารให้ตรงเวลา อย่าอดข้าว ถ้ารู้สึกหิว ควรรีบกินอาหาร ของหวาน หรือดื่มนม หรือน้ำหวาน

ข้อแนะนำ

1. ผู้ป่วยที่มีอาการที่ชวนสงสัยว่าเป็นภาวะน้ำตาลในเลือดต่ำ ถ้ายังรู้สึกตัวดี ควรรีบกินน้ำตาล น้ำหวาน หรือของหวาน ๆ ทันที ซึ่งจะช่วยให้อาการต่าง ๆ ทุเลาลงทันที โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้ป่วยเบาหวานที่ได้รับยารักษาเบาหวานอยู่ ควรพกน้ำตาลติดตัวไว้กินทุกครั้งที่เริ่มรู้สึกมีอาการ

แต่ถ้าหมดสติ ห้ามกรอกน้ำตาลหรือน้ำหวานเข้าปากผู้ป่วย อาจทำให้สำลักลงปอดได้ ควรรีบนำไปยังสถานพยาบาลที่อยู่ใกล้บ้านที่สุด เพื่อฉีดกลูโคสเข้าหลอดเลือดดำ

2. ผู้ป่วยที่มีภาวะนี้บ่อย ๆ ควรบอกให้ญาติและเพื่อนใกล้ชิดทราบ เพื่อจะได้หาทางแก้ไขได้ทันท่วงทีหากปล่อยไว้จนหมดสติหรือชักนาน ๆ อาจทำให้สมองพิการได้

3. ในรายที่มีภาวะน้ำตาลในเลือดต่ำบ่อย ๆ โดยไม่ทราบสาเหตุแน่ชัด ควรให้แพทย์ตรวจหาสาเหตุให้แน่ชัด 

4. ผู้ที่เป็นกลุ่มเสี่ยงสูงต่อเบาหวาน (มีระดับน้ำตาลในเลือดสูงผิดปกติ แต่ยังไม่ถึงขั้นเป็นเบาหวาน) บางรายอาจเกิดอาการของภาวะน้ำตาลในเลือดต่ำในช่วงหลังกินอาหาร 2-4 ชั่วโมงได้บ่อย (ภาวะน้ำตาลในเลือดต่ำลักษณะนี้ เรียกว่า “Reactive hypoglycemia”) และอาจกลายเป็นเบาหวานในระยะอีกหลายปีต่อมา ดังนั้นผู้ที่มีภาวะน้ำตาลในเลือดต่ำบ่อย ๆ และตรวจพบว่าเป็นกลุ่มเสี่ยงสูงต่อเบาหวานก็ควรควบคุมอาหาร ออกกำลังกาย และควบคุมน้ำหนัก เพื่อป้องกันไม่ให้กลายเป็นเบาหวาน

5
เทียบคุณสมบัติ 9 ฉนวนกันความร้อน ยอดนิยม

การติดตั้ง ฉนวนกันความร้อน เป็นการลงทุนที่จะช่วยป้องกันความร้อนเข้าสู่ตัวบ้านได้ในระยะยาว ไปทำความรู้จักฉนวนแต่ละชนิดก่อนเลือกใช้กัน
ดูเหมือนอุณหภูมิในฤดูร้อนของบ้านเราจะพุ่งสูงขึ้นทุกปี หลายคนจึงอาจกำลังหาวิธีทำให้บ้านเย็นสบายขึ้น ไม่ว่าจะเป็นการปลูกต้นไม้รอบบ้าน ติดตั้งกันสาดบังแดด หรือกระทั่งติดตั้งเครื่องปรับอากาศ อีกวิธีหนึ่งที่เราอยากแนะนำคือการติดตั้ง ฉนวนกันความร้อน ซึ่งสามารถติดตั้งได้ทั้งในบ้านเก่าและบ้านใหม่ ช่วยป้องกันความร้อนเข้าสู่ตัวบ้านได้ดี จึงถือเป็นการลงทุนที่คุ้มค่าในระยะยาว การติดตั้ง ฉนวนกันความร้อน ถือเป็นการลงทุนที่คุ้มค่า ซึ่งจะช่วยป้องกันความร้อนเข้าสู่ตัวบ้านได้ในระยะยาว บ้านและสวน ขอพาไปทำความรู้จักกับ ฉนวนกันความร้อน ชนิดต่างๆ กันให้มากยิ่งขึ้น ก่อนเลือกใช้ให้เหมาะสมกับบ้านของคุณ

รูปแบบการติดตั้งฉนวนกันความร้อน

ส่วนใหญ่แล้วฉนวนกันความร้อนมักติดตั้งบริเวณหลังคา เพื่อป้องกันความร้อนโดยตรงจากแสงแดด แต่ก็สามารถติดตั้งตรงผนังบ้านได้เช่นกัน เพื่อช่วยกันความร้อนจากผนัง เก็บความเย็นภายในบ้าน รวมถึงช่วยดูดซับเสียงรบกวนจากภายนอกด้วย ฉนวนมีทั้งแบบหน่วงให้ความร้อนผ่านไปช้าลง และแบบสะท้อนความร้อนออก โดยการติดตั้งบริเวณหลังคามีหลายรูปแบบ ขึ้นอยู่กับฉนวนแต่ละประเภท ดังนี้

    ติดตั้งเหนือฝ้าเพดาน – ฉนวนที่ติดตั้งเหนือฝ้าจะช่วยหน่วงความร้อนเอาไว้ไม่ให้ลงมายังห้องด้านล่าง โดยพื้นที่ใต้หลังคาควรมีช่องระบายอากาศด้วย เพื่อถ่ายเทความร้อนออกสู่ด้านนอกไม่ให้สะสมใต้หลังคามากเกินไป ฉนวนที่ติดตั้งเหนือฝ้ามีหลายรูปแบบ มีทั้งแบบแผ่นและแบบม้วนเพื่อให้ง่ายต่อการวางเหนือฝ้า และบางชนิดก็ติดมาพร้อมกับแผ่นฝ้าในตัว
    ติดตั้งใต้แผ่นหลังคา – ฉนวนที่ติดตั้งใต้แผ่นหลังคาสามารถกันความร้อนได้ดีที่สุด เพราะช่วยป้องกันความร้อนจากด้านบนไม่ให้ลงมาสะสมอยู่บริเวณใต้หลังคาบ้าน ฉนวนบางชนิดที่ติดตั้งใต้แผ่นหลังคาจะมีข้อจำกัดคือ ต้องติดตั้งไปพร้อมๆ กับการก่อสร้างหลังคา แต่ก็มีบางชนิดที่สามารถติดตั้งบริเวณช่องแป รวมทั้งมีแบบฉีดพ่น ซึ่งสามารถติดตั้งในภายหลังได้
    ติดตั้งบนผิวหลังคา – ฉนวนที่ติดตั้งบนผิวหลังคา ได้แก่ สีสะท้อนความร้อน ซึ่งจะช่วยสะท้อนความร้อนไม่ให้เข้าสู่บริเวณใต้หลังคาบ้าน แนะนำให้ใช้ควบคู่กับการติดตั้งฉนวนกันความร้อนประเภทอื่นๆ ที่มีคุณสมบัติหน่วงความร้อน เพราะหากเกิดคราบสกปรกบนพื้นผิวหลังคาแล้ว จะทำให้ประสิทธิภาพในการสะท้อนความร้อนลดลงนั่นเอง


9 ฉนวนกันร้อนยอดนิยม

1. ฉนวนใยแก้ว

ลักษณะเป็นแผ่นหนา ภายในประกอบด้วยใยแก้วเส้นเล็กที่ประสานกันจนเกิดเป็นโพรงอากาศ ซึ่งทำหน้าที่กักความร้อนเอาไว้ด้านใน เป็นวัสดุนำความร้อนต่ำ ไม่ลุกติดไฟ อีกทั้งยังช่วยดูดซับเสียงด้วย เป็นฉนวนยอดนิยมที่ติดตั้งง่าย หาซื้อง่าย มีให้เลือกหลากหลายยี่ห้อ หลายรุ่น มีความหนาตั้งแต่ 2-6 นิ้ว มีทั้งแบบเปลือยและแบบปิดผิวด้วยอะลูมิเนียมที่ช่วยสะท้อนความร้อนได้ในตัว (ปิดผิว 1 หรือ 2 ด้าน หรือหุ้มรอบด้าน) มีทั้งแบบม้วนและแบบแผ่น สำหรับติดตั้งเหนือฝ้าเพดาน ใต้หลังคา หรือบริเวณผนัง เมื่อเลือกใช้ ควรระมัดระวังเรื่องน้ำรั่วซึมในพื้นที่ติดตั้ง เพราะเส้นใยจะยุบตัวเป็นฝุ่นเมื่อโดนน้ำ ความชื้น หรือถูกกดทับ รวมถึงเมื่อติดตั้งอาจมีการฟุ้งกระจายของเส้นใยได้


2. ฉนวนพอลิยูรีเทนโฟม

เรียกสั้นๆ ว่า โฟมพียู (PU) หรือ โฟมเหลือง เกิดจากเทคโนโลยีการฉีดโฟมเพื่อป้องกันความร้อน เป็นวัสดุนำความร้อนต่ำ มีคุณสมบัติป้องกันน้ำและความชื้น ทั้งยังช่วยกันเสียงได้ด้วย โฟมพียูมีทั้งแบบฉีดพ่นใต้หลังคาและแบบแผ่น รวมถึงมีแบบที่มาพร้อมกับแผ่นฝ้าในตัว ปัจจุบันมีการพัฒนาสารกันไฟลามเพื่อเพิ่มเข้าไปในตัววัสดุ ดังนั้น เมื่อเลือกใช้ฉนวนโฟมพียู จึงควรเลือกใช้แบบที่ผสมสารกันไฟลามเข้าไปด้วย


3. ฉนวนเซลลูโลส

หรือ ฉนวนเยื่อกระดาษ เป็นฉนวนแบบฉีดพ่นใต้หลังคา ผลิตจากกระดาษใช้แล้ว ตัววัสดุสามารถป้องกันความร้อนและควบคุมอุณหภูมิได้ดี มีน้ำหนักเบา กันเสียงได้ มีสารป้องกันการลามไฟ ป้องกันเชื้อรา รวมทั้งไม่เป็นแหล่งอาหารของหนู ปลวก และแมลงสาบด้วย สามารถฉีดพ่นได้ในพื้นที่แคบ บนหลากหลายพื้นผิว ทั้งเหล็กและไม้ แต่มีข้อจำกัดคือ อาจควบคุมความหนาของฉนวนได้ไม่สม่ำเสมอ


4. ฉนวนอะลูมิเนียมฟอยล์

เป็นวัสดุที่ช่วยสะท้อนความร้อนไม่ให้เข้าสู่ตัวบ้าน ซึ่งมักติดตั้งใต้แผ่นหลังคาไปพร้อมๆ กับการสร้างหลังคา ลักษณะคล้ายแผ่นฟอยล์สำหรับห่ออาหาร แต่มีความหนา เหนียว และคงทนมากกว่า เป็นฉนวนที่มีราคาย่อมเยา ติดตั้งง่าย น้ำหนักเบา ไม่ติดไฟ ไม่ขึ้นราเมื่อโดนความชื้น และป้องกันรังสียูวี แนะนำให้ใช้อะลูมิเนียมฟอยล์ควบคู่กับฉนวนประเภทอื่นๆ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการป้องกันความร้อน เมื่อติดตั้งแล้ว หากมีฝุ่นเกาะหรือเป็นคราบ อาจทำให้ประสิทธิภาพลดลงในการป้องกันความร้อนลดลงได้


5. ฉนวนพอลิเอทิลีนโฟม

หรือ โฟมพีอี (PE) เป็นฉนวนอีกชนิดหนึ่งที่นิยมใช้ในบ้าน ราคาย่อมเยากว่าฉนวนใยแก้ว รวมทั้งน้ำหนักเบาและเหนียว ประกอบด้วยชั้นโฟมหนานุ่มที่ช่วยหน่วงความร้อน หุ้มด้วยอะลูมิเนียมฟอยล์ที่ช่วยสะท้อนความร้อนในตัว โฟมพีอีมีรูปแบบให้เลือกหลายรุ่น หลายยี่ห้อ มีความหนาตั้งแต่ 3 – 25 มิลลิเมตร ติดตั้งได้ทั้งเหนือฝ้าเพดานและใต้แผ่นหลังคา มีทั้งแบบม้วนและแบบแผ่นที่มีขนาดพอดีฝ้าทีบาร์ หากติดตั้ง ควรเลือกใช้โฟมพีอีที่มีการผสมสารกันไฟลามเพื่อความปลอดภัย


6. ฉนวนแอร์บับเบิล

หรือ บับเบิลฟอยล์ ลักษณะเป็นม้วนคล้ายพลาสติกกันกระแทก โดยมีมวลอากาศอยู่ตรงกลางระหว่างแผ่นฟอยล์ที่ประกบสองด้าน ทำให้มีคุณสมบัติทั้งหน่วงและสะท้อนความร้อนได้ในตัว ฉนวนแอร์บับเบิลสามารถติดตั้งได้หลากหลายรูปแบบ ทั้งปูติดเหนือฝ้าเพดาน และติดตั้งบริเวณโครงหลังคาแบบติดเหนือแปหรือใต้จันทัน โดยขึงลวดยึดไม่ให้ตกท้องช้าง เช่นเดียวกับโฟมพีอี เนื่องจากวัสดุด้านในผลิตจากพลาสติก (ชนิดพลาสติกขึ้นอยู่กับผู้ผลิตแต่ละราย) เมื่อติดตั้งจึงควรเลือกใช้ชนิดที่ผสมสารกันไฟลามเท่านั้น


7. ฉนวนพอลิสไตรีนโฟม

ชื่อย่อคือ โฟมพีเอส (PS) หรือ โฟมอีพีเอส (EPS) หรือเรียกง่ายๆ ว่า โฟมขาว มีคุณสมบัติกันได้ทั้งความร้อนและความเย็น น้ำหนักเบา มีความยืดหยุ่นสูง ทนแรงกดทับได้ดี โฟมพีเอสมีขายทั้งแบบแผ่นโฟมเปล่า และแบบที่มาพร้อมกับแผ่นฝ้าหรือแผ่นผนังในตัว เช่น แผ่นหลังคาและแผ่นผนังแซนด์วิช (Sandwich Roof & Panel) ซึ่งขนย้ายง่ายและติดตั้งได้รวดเร็ว ลดขั้นตอนในการสร้างบ้าน ปัจจุบันมีการพัฒนาโฟมอีพีเอสแบบ F-Grade ซึ่งเพิ่มสารกันไฟลามเข้าไปในวัสดุ ทำให้มีความปลอดภัย เหมาะสำหรับงานก่อสร้างมากขึ้น


8. ฉนวนใยหิน (Rockwool)

ผลิตจากการนำหินภูเขาไฟมาหลอมด้วยอุณหภูมิสูงและปั่นเป็นเส้นใย ทำให้มีคุณสมบัติป้องกันความร้อนสูง ดูดซับเสียงได้ดี เป็นวัสดุกันไฟ และมีอายุการใช้งานยาวนาน ส่วนใหญ่ที่วางจำหน่ายมีความหนา 5 เซนติเมตร นิยมใช้ติดตั้งสำหรับผนังกันเสียง แต่สามารถติดตั้งเป็นฉนวนบนฝ้าเพดานได้เช่นกัน ชื่อ “ฉนวนใยหิน” อาจฟังดูคล้ายกับ “แร่ใยหิน” ซึ่งเป็นสารอันตราย แต่ฉนวนใยหินไม่มีส่วนผสมของแร่ใยหินแต่อย่างใด จึงปลอดภัยกับผู้ใช้งาน ฉนวนใยหินไม่เหมาะสำหรับพื้นที่ชื้น เช่น การใช้เป็นผนังห้องเย็น


9. สีสะท้อนความร้อน (Ceramic Coating)

มีลักษณะเป็นแผ่นฟิล์ม ซึ่งเกิดการผสมผสานอนุภาคของเซรามิกผสมกับอะคริลิกและส่วนผสมอื่นๆ ทำให้สามารถสะท้อนความร้อนได้ดี ยึดเกาะพื้นผิว และดูดความร้อนต่ำ นิยมใช้พ่นภายนอกอาคาร โดยเฉพาะพ่นเคลือบหลังคาและพื้นดาดฟ้า นอกจากนั้น กระเบื้องมุงหลังคาบางรุ่นยังมีการเคลือบสีสะท้อนความร้อนมาในตัว รวมไปถึงสีทาภายนอกบางประเภทที่มีการผสมวัสดุนี้เข้าไปในเนื้อสีด้วย สีสะท้อนความร้อนควรใช้ควบคู่กับฉนวนประเภทอื่นๆ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการป้องกันความร้อนเข้าสู่ตัวบ้าน

 
เลือกฉนวนกันร้อนต้องดูอะไรบ้าง

1. ประเภทฉนวนและตำแหน่งติดตั้ง

ฉนวนแต่ละชนิดมีคุณสมบัติซึ่งเหมาะสำหรับติดตั้งในพื้นที่ที่แตกต่างกันออกไป เช่น ฉนวนใยแก้วเป็นวัสดุที่มีความหนา ดูดซับความร้อนได้ดี จึงมักใช้ติดตั้งบริเวณใต้หลังคาที่เป็นแหล่งสะสมความร้อนจุดหลักๆ ของบ้าน ขณะที่ฉนวนอะลูมิเนียมฟอยล์ซึ่งทำหน้าที่สะท้อนความร้อนอย่างเดียวนั้น อาจใช้ติดตั้งในพื้นที่ที่ไม่ได้ใช้งานบ่อยเพื่อลดงบประมาณการก่อสร้างได้ ทั้งนี้หากต้องการป้องกันความร้อนให้ได้อย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด ควรใช้ฉนวนทั้งแบบสะท้อนและหน่วงความร้อนควบคู่กันไป

2. ค่าต้านทานความร้อน

ฉนวนกันความร้อนแต่ละชนิดมักระบุค่าต้านทานความร้อน (Resistivity) หรือ ค่า R ไว้บนฉลากบรรจุภัณฑ์ (มีหน่วยเป็น m2K/W หรือ ft2. F/Btu) ซึ่งบ่งบอกว่าฉนวนชนิดนั้นๆ สามารถป้องกันความร้อนที่ผ่านเข้ามาได้มากแค่ไหน ยิ่งค่า R สูง ยิ่งแปลว่าต้านทานความร้อนได้ดี โดยค่า R คิดคำนวณจาก ความหนาของฉนวนหารด้วยค่าการนำความร้อน (Conductivity) หรือ ค่า K ของวัสดุ ซึ่งตามปกติแล้ว ฉนวนยิ่งหนา ยิ่งกันความร้อนได้มาก ส่วนค่า K ยิ่งต่ำยิ่งแปลว่าดี

3. ราคา

เพื่อเลือกฉนวนให้เหมาะสมกับความต้องการและงบประมาณ ให้ลองเปรียบเทียบราคาต่อตารางเมตรและค่ากันความร้อนของฉนวนที่เลือกไว้ในใจกับฉนวนประเภทอื่นๆ เพื่อหาว่าฉนวนแบบไหนคุ้มค่าที่สุดสำหรับคุณ ยกตัวอย่างเช่น ฉนวนบางชนิดอาจมีราคาแพงกว่าฉนวนอื่นๆ ไม่มากนัก แต่สามารถกันความร้อนได้สูงกว่ามาก เมื่อเฉลี่ยราคาแล้วจึงถือว่าคุ้มค่ากว่านั่นเอง

6
บริหารจัดการอาคาร: การดูแลรักษาแอร์จึงเป็นเรื่องที่ไม่ควรมองข้าม

การดูแลรักษาเครื่องปรับอากาศ (แอร์) เป็นเรื่องที่ไม่ควรมองข้ามอย่างยิ่งค่ะ! เพราะนอกจากจะช่วยให้แอร์ของคุณทำงานได้อย่าง เต็มประสิทธิภาพ เย็นฉ่ำสู้ความร้อนของเมืองไทยแล้ว ยังช่วยให้คุณ ประหยัดค่าไฟ และ ยืดอายุการใช้งาน ของแอร์ไปได้อีกนานเลยทีเดียว หากละเลยการดูแลรักษา อาจเจอปัญหาแอร์ไม่เย็น มีกลิ่นอับ น้ำหยด หรือเสียบ่อยจนต้องเสียค่าซ่อมแพงๆ ในที่สุดค่ะ


ทำไมการดูแลรักษาแอร์จึงสำคัญ?

ประหยัดพลังงาน: แอร์ที่สะอาดและได้รับการบำรุงรักษาอย่างดี จะทำงานได้มีประสิทธิภาพมากขึ้น ไม่ต้องใช้พลังงานสูงเกินความจำเป็น ทำให้ค่าไฟลดลง

ประสิทธิภาพการทำความเย็นสูงสุด: เมื่อแอร์สะอาด ลมเย็นจะออกมาเต็มที่ ช่วยให้ห้องเย็นเร็วขึ้นและทั่วถึง ไม่ต้องปรับอุณหภูมิต่ำเกินไป

อากาศสะอาดและดีต่อสุขภาพ: แผ่นกรองและคอยล์เย็นที่สกปรกเป็นแหล่งสะสมของฝุ่นละออง เชื้อโรค เชื้อรา และแบคทีเรีย ซึ่งเป็นสาเหตุของโรคทางเดินหายใจและภูมิแพ้ การทำความสะอาดช่วยลดปัญหานี้ได้

ยืดอายุการใช้งานเครื่อง: การดูแลที่สม่ำเสมอช่วยลดภาระการทำงานหนักของคอมเพรสเซอร์และชิ้นส่วนอื่นๆ ทำให้แอร์เสื่อมสภาพช้าลง และใช้งานได้นานขึ้น

ลดปัญหาจุกจิกและค่าซ่อม: ป้องกันปัญหาน้ำหยด เสียงดังผิดปกติ แอร์ไม่ตัด หรือแอร์พังกะทันหัน ซึ่งมักมีสาเหตุมาจากการละเลยการบำรุงรักษา

การดูแลรักษาแอร์ด้วยตัวเอง (สิ่งที่ควรทำเป็นประจำ)
คุณสามารถทำความสะอาดและดูแลเบื้องต้นได้ด้วยตัวเองเป็นประจำทุก 1-2 เดือน (หรือบ่อยกว่านั้นหากใช้งานหนัก หรืออยู่ในบริเวณที่มีฝุ่นมาก):

ทำความสะอาดแผ่นกรองอากาศ:

วิธีทำ: เปิดหน้ากากแอร์ออก แล้วดึงแผ่นกรองอากาศออกมาเบาๆ

ล้าง: ใช้แปรงสีฟันเก่า หรือแปรงขนนุ่มๆ ปัดฝุ่นออก หรือนำไปล้างด้วยน้ำเปล่า (ห้ามใช้น้ำยาเคมีรุนแรง) หากสกปรกมากอาจใช้น้ำยาล้างจานอ่อนๆ ผสมน้ำ

ผึ่งให้แห้ง: ผึ่งแผ่นกรองในที่ร่มจนแห้งสนิทก่อนนำกลับไปใส่เข้าที่เดิม

ประโยชน์: ช่วยให้อากาศไหลผ่านได้ดีขึ้น ลดการสะสมของฝุ่นและเชื้อโรค


เช็ดทำความสะอาดตัวเครื่องภายนอก:

วิธีทำ: ใช้ผ้าชุบน้ำบิดหมาดๆ เช็ดทำความสะอาดฝุ่นละอองและคราบสกปรกบริเวณตัวเครื่องด้านนอก ทั้งคอยล์เย็น (ชุดที่อยู่ในห้อง) และคอยล์ร้อน (ชุดที่อยู่นอกบ้าน)

ประโยชน์: เพื่อความสะอาดสวยงาม และป้องกันการสะสมของฝุ่น

การดูแลรักษาแอร์โดยช่างผู้เชี่ยวชาญ (สิ่งที่ควรทำทุก 6-12 เดือน)
การล้างแอร์แบบถอดล้างใหญ่โดยช่างผู้เชี่ยวชาญมีความสำคัญอย่างยิ่ง และควรทำอย่างน้อย ปีละ 1-2 ครั้ง (ขึ้นอยู่กับการใช้งานและสภาพแวดล้อม)


ช่างจะดำเนินการในส่วนที่คุณไม่สามารถทำเองได้ ดังนี้:

ทำความสะอาดคอยล์เย็นและพัดลมโพรงกระรอก:

ช่างจะถอดชิ้นส่วนต่างๆ และใช้ปืนฉีดน้ำแรงดันสูงฉีดล้างทำความสะอาดฝุ่น เมือก และเชื้อราที่เกาะตามครีบของคอยล์เย็น และภายในพัดลมโพรงกระรอก ซึ่งเป็นจุดที่สกปรกสะสมมากที่สุด

ประโยชน์: ช่วยให้แอร์เย็นฉ่ำ ลมออกแรงขึ้น และขจัดกลิ่นอับได้อย่างหมดจด


ทำความสะอาดถาดรองน้ำทิ้งและท่อน้ำทิ้ง:

ช่างจะทำความสะอาดสิ่งอุดตันต่างๆ ในถาดรองน้ำและท่อน้ำทิ้ง เพื่อป้องกันปัญหาน้ำหยดจากแอร์

ประโยชน์: ป้องกันน้ำหยด และการเกิดเชื้อราที่อาจส่งกลิ่นไม่พึงประสงค์


ทำความสะอาดแผงคอยล์ร้อน (ชุดภายนอก):

ช่างจะฉีดล้างฝุ่น ดิน และสิ่งสกปรกที่เกาะอยู่ตามแผงคอยล์ร้อนและใบพัดลมของชุดระบายความร้อนภายนอกบ้าน

ประโยชน์: ช่วยให้แอร์ระบายความร้อนได้ดีขึ้น ลดภาระการทำงานของคอมเพรสเซอร์ และประหยัดไฟ


ตรวจเช็กระดับน้ำยาแอร์:

ช่างผู้เชี่ยวชาญจะทำการตรวจเช็กปริมาณน้ำยาแอร์ และแรงดันน้ำยาแอร์ (Refrigerant Pressure)

ข้อควรจำ: น้ำยาแอร์ไม่ได้พร่องไปเองตามการใช้งาน หากตรวจพบว่าน้ำยาแอร์น้อยผิดปกติ แสดงว่าอาจมีการรั่วซึม ช่างควรตรวจสอบและแก้ไขจุดรั่วซึมก่อนที่จะเติมน้ำยาแอร์

ประโยชน์: ช่วยให้มั่นใจว่าระบบทำความเย็นทำงานได้อย่างเต็มที่


ตรวจเช็กระบบไฟฟ้าและอุปกรณ์อื่นๆ:

ช่างจะตรวจสอบการทำงานของมอเตอร์ พัดลม สายไฟ การต่อสายดิน และการทำงานของอุปกรณ์ความปลอดภัยต่างๆ (เช่น ELCB) เพื่อให้แน่ใจว่าแอร์ทำงานได้อย่างปลอดภัยและไม่มีส่วนใดชำรุดเสียหาย

การดูแลรักษาแอร์อย่างสม่ำเสมอ ไม่ใช่แค่การซ่อมเมื่อเสีย แต่เป็นการลงทุนที่คุ้มค่าในระยะยาว เพื่อสุขภาพที่ดี ประหยัดค่าใช้จ่าย และความเย็นสบายในบ้านของคุณค่ะ

7
หมอออนไลน์: ดีซ่านสรีระในทารกแรกเกิด (Physiologic jaundice)

ทารกแรกเกิดที่แข็งแรงเป็นปกติประมาณร้อยละ 60 อาจมีอาการดีซ่านได้ ทั้งนี้เนื่องจากตับของทารกยังทำงานไม่ได้เต็มที่ คือ ยังไม่สามารถขจัดสารสีเหลือง ได้แก่ บิลิรูบิน (bilirubin)* ที่เกิดจากการแตกของเม็ดเลือดแดงของทารกในปริมาณมาก จึงทำให้มีการคั่งของสารนี้จนเกิดอาการดีซ่าน เรียกว่า ภาวะดีซ่านสรีระ (physiologic jaundice) ซึ่งจะตรวจไม่พบโรคหรือความผิดปกติใด ๆ

ภาวะดีซ่านสรีระพบได้บ่อยในทารกที่ดูดนมหรือน้ำได้น้อยเกินไป

ทารกที่คลอดก่อนกำหนดและทารกที่ตัวเล็กกว่าปกติมีโอกาสเป็นดีซ่านสรีระมากกว่าทารกที่คลอดปกติ

*บิลิรูบิน (bilirubin) เป็นสารสีเหลือง ซึ่งเกิดจากการสลาย (แตก) ตัวของเม็ดเลือดแดง โดยปกติตับจะทำหน้าที่ดึงเอาสารนี้ออกจากกระแสเลือด และนำไปสร้างน้ำดี

น้ำดีส่วนหนึ่งจะเก็บสะสมอยู่ในถุงน้ำดี ซึ่งต่อมาจะไหลผ่านท่อน้ำดีร่วม (common bile duct) ลงไปในลำไส้เล็กเพื่อช่วยย่อยอาหารพวกไขมัน น้ำดีส่วนที่เหลือจะไหลโดยตรงจากตับผ่านท่อตับ ท่อน้ำดี ลงไปที่ลำไส้เล็ก

ถ้าหากเกิดความผิดพลาดเกี่ยวกับขั้นตอนใดขั้นตอนหนึ่งในกระบวนการดังกล่าว เช่น เม็ดเลือดแดงแตกตัวมากเกินไป (เช่น ที่พบในโรคเม็ดเลือดแดงแตก) ท่อน้ำดีอุดตัน ตับอักเสบ ตับไม่สามารถขจัดสารบิลิรูบิน เป็นต้น ก็จะทำให้มีการคั่งของสารบิลิรูบินในกระแสเลือด (hyperbilirubinemia) กลายเป็นดีซ่าน
 

สาเหตุ

เกิดจากตับของทารกยังทำงานไม่ได้เต็มที่ ไม่สามารถขจัดสารสีเหลือง (บิลิรูบิน) จากกระแสเลือด ออกไปทางลำไส้ได้ทัน จึงมีการคั่งของสารนี้ ทำให้เกิดอาการตาเหลืองตัวเหลือง (ดีซ่าน) ชั่วคราวได้

อาการ

ทารกจะเริ่มมีอาการดีซ่าน (ตาเหลือง) เมื่อพ้นระยะ 24 ชั่วโมงหลังคลอด ส่วนใหญ่อยู่ในช่วง 2-3 วันหลังคลอด จะเหลืองเข้มที่สุดในราววันที่ 5-7 หลังคลอดแล้วจะค่อย ๆ จางหายไปภายใน 1-2 สัปดาห์ โดยที่ทารกดูแข็งแรงดี ไม่มีไข้ ไม่ซึม ไม่งอแง ไม่ซีด ดูดนมและน้ำได้ดี ถ่ายอุจจาระสีปกติ

อาการเหลืองจะเริ่มจากบริเวณหน้าก่อน แล้วไล่ลงมาที่ลำตัว แขนและขา ตามลำดับ ส่วนเวลาจางจะเป็นไปในทางตรงกันข้าม


ภาวะแทรกซ้อน

โดยทั่วไปภาวะเช่นนี้มักไม่มีอันตรายต่อทารกแต่อย่างใด ยกเว้นในรายที่มีอาการเหลืองจัด (มีระดับบิลิรูบินในเลือดสูงจัด) อาจทำให้สมองพิการได้ เนื่องจากสารบิลิรูบินเข้าไปสะสมในเนื้อสมอง ทำให้สมองทำหน้าที่ผิดปกติ เรียกว่า ภาวะสารบิลิรูบินสะสมในสมอง (kernicterus) หรือ โรคสมองบิลิรูบิน (bilirubin encephalopathy) ทารกจะมีอาการซึม ไม่ดูดนม อาเจียน หลังแอ่น ตาเหลือก ชัก และอาจเสียชีวิตได้ หรือไม่ก็อาจกลายเป็นเด็กพิการ ปัญญาอ่อน หูหนวก


การวินิจฉัย

แพทย์จะวินิจฉัยจากอาการ ประวัติการเจ็บป่วย และการตรวจร่างกายเป็นหลัก มีสิ่งตรวจพบ ได้แก่ ตาเหลือง ตัวเหลือง และปัสสาวะสีเหลืองเหมือนขมิ้น

ในกรณีที่จำเป็น แพทย์จะทำการตรวจระดับบิลิรูบินในเลือด


การรักษาโดยแพทย์

แพทย์จะให้การดูแลรักษาดังนี้

1. ถ้าพบอาการดีซ่านในทารกแรกเกิด ซึ่งเริ่มมีอาการในวันที่ 2-5 หลังคลอด แพทย์จะตรวจดูทารกอย่างละเอียด เมื่อแน่ใจว่าไม่มีสาเหตุจากอย่างอื่น และทารกท่าทางแข็งแรงดี ก็จะแนะนำให้ทารกดูดนมและน้ำให้มากขึ้น ให้ทารกผึ่งแดดอ่อน ๆ ตอนเช้า หรือใช้แสงไฟนีออนส่อง จะช่วยลดอาการเหลืองได้ แล้วทำการติดตามดูอาการของทารกอย่างใกล้ชิด ถ้าหากพบว่าทารกตัวเหลืองเข้มขึ้นเรื่อย ๆ เป็นเวลานานกว่า 1 สัปดาห์ หรือ ฝ่าเท้าเหลือง (ซึ่งมักมีระดับบิลิรูบินสูงกว่า 20 มก./ดล.) อาจจำเป็นต้องรับตัวไว้รักษาในโรงพยาบาล

2. ถ้าพบว่าทารกมีอาการไข้ ซีด มีจุดแดงจ้ำเขียว ท้องเดิน อุจจาระสีเหลืองอ่อนหรือซีดขาว ซึมผิดปกติ ตัวอ่อนปวกเปียก ไม่ดูดนม อาเจียน ชัก หรือเริ่มมีอาการดีซ่านภายใน 24 ชั่วโมงหลังคลอดหรือเมื่อมีอายุมากกว่า 3 วัน แพทย์จะรับตัวไว้รักษาในโรงพยาบาล ทำการตรวจเลือด ตรวจปัสสาวะ และตรวจพิเศษอื่น ๆ เพื่อค้นหาสาเหตุ และให้การรักษาตามสาเหตุ

3. ในรายที่เป็นภาวะดีซ่านสรีระ (ไม่มีโรคหรือความผิดปกติต่าง ๆ แต่เหลืองจัด ซึ่งอาจเป็นอันตรายต่อสมองทารก) แพทย์จะทำการบำบัดด้วยแสง (phototherapy คือการส่องด้วยแสงไฟนีออนของหลอดไฟฟลูออเรสเซนต์หรือแสงสีน้ำเงิน)

หากไม่ได้ผล หรือพบว่ามีระดับบิลิรูบินในเลือดสูงมาก (มากกว่า 20-25 มก./ดล. ในทารกคลอดครบกำหนด ส่วนในทารกคลอดก่อนกำหนดคิดที่ค่าต่ำกว่านี้) แพทย์ก็จะทำการเปลี่ยนถ่ายเลือด (exchange transfusion)

ผลการรักษา ส่วนใหญ่หายเป็นปกติภายใน 1-2 สัปดาห์ แต่ถ้าปล่อยไว้จนมีอาการเหลืองจัด และได้รับการรักษาล่าช้าไป ก็อาจมีความยุ่งยากในการรักษา หรือเกิดภาวะแทรกซ้อนร้ายแรงได้

*ทารกที่ดื่มนมมารดาตั้งแต่แรกเกิดอาจมีอาการดีซ่านได้บ่อย ซึ่งเป็นไปได้ 2 ลักษณะ คือ

1. เกิดจากนมมารดาออกน้อย หรือให้ทารกดูดนมน้อย ทำให้ทารกได้ปริมาณนมน้อยเกินไป เกิดภาวะขาดน้ำ ประกอบกับลำไส้ทารกเคลื่อนตัวช้าเนื่องจากไม่มีนมกระตุ้น ทำให้มีการดูดซึมบิลิรูบินกลับเข้าเลือดมากขึ้น จึงเกิดอาการดีซ่าน ซึ่งมักเกิดขึ้นภายใน 7 วันแรกหลังคลอด และมีอาการน้ำหนักลดร่วมด้วย เมื่อให้ดูดนมบ่อยขึ้น (เพิ่มเป็นวันละ 8-12 ครั้ง) มีปริมาณนมออกมากขึ้น อาการก็จะค่อย ๆ ทุเลาไปได้เองเป็นส่วนใหญ่

ลักษณะนี้เรียกว่า ภาวะดีซ่านจากการเลี้ยงนมมารดา (breast-feeding jaundice)

2. เกิดจากนมมารดาในบางรายจะมีสารบางชนิด เช่น กรดไขมันอิสระ บีตากลูคูโรนิเดส (beta glucuronidase) ในปริมาณมากกว่าปกติ ส่งผลให้ทารกเกิดอาการดีซ่าน ซึ่งมักเกิดขึ้นในวันที่ 4-7 หลังคลอด และอาจเป็นอยู่นานกว่า 2 สัปดาห์ (บางรายอาจนานถึง 12 สัปดาห์) ส่วนใหญ่มักไม่มีความรุนแรง

ลักษณะนี้เรียกว่า ภาวะดีซ่านจากนมมารดา (breast milk jaundice) หากพบอาการนี้ควรปรึกษาแพทย์เพื่อตรวจหาสาเหตุอื่นก่อน

เมื่อมั่นใจว่าเกิดจากนมมารดา ส่วนใหญ่ก็ยังคงแนะนำให้เลี้ยงทารกด้วยนมมารดาต่อไป และอาจให้นมผสมเสริม หากไม่ทุเลาอาจงดให้นมมารดา 1-2 วัน อาการมักจะทุเลาได้ น้อยรายที่อาจมีอาการเหลืองจัดจนต้องให้การบำบัดด้วยแสง หรือเปลี่ยนถ่ายเลือด

การดูแลตนเอง

1. ถ้าพบอาการดีซ่านในทารกแรกเกิด ควรปรึกษาแพทย์

เมื่อตรวจพบว่าเป็นดีซ่านสรีระในทารกแรกเกิด ควรดูแลรักษาตามคำแนะนำของแพทย์ และติดตามการรักษาตามที่แพทย์นัด ควรให้ทารกดูดนมแม่โดยเร็ว(ภายใน 1/2 - 1 ชั่วโมงหลังคลอด) และบ่อยๆ ดื่มน้ำให้มากขึ้น และให้ทารกผึ่งแดดอ่อน ๆ ตอนเช้า หรือใช้แสงไฟนีออนส่อง

2. ควรกลับไปพบแพทย์ก่อนนัด ถ้าทารกมีลักษณะข้อใดข้อหนึ่ง ดังต่อไปนี้

    มีไข้ อาเจียน ท้องเดิน ซีด มีจุดแดงจ้ำเขียว ซึมผิดปกติ ตัวอ่อนปวกเปียก หรือชัก
    อุจจาระสีเหลืองอ่อน หรือซีดขาว
    ทารกไม่ดูดนม
    มีอาการตัวเหลืองเข้มขึ้นเรื่อย ๆ หรือ ฝ่าเท้าเหลือง
    เริ่มมีอาการดีซ่านภายใน 24 ชั่วโมงหลังคลอดหรือเมื่อมีอายุมากกว่า 3 วัน
    มีความวิตกกังวล

การป้องกัน

หลังคลอดควรให้ทารกดูดนมโดยเร็ว (ภายใน 1/2 - 1 ชั่วโมงหลังคลอด) และบ่อย ๆ จะช่วยกระตุ้นให้ลำไส้เคลื่อนตัวและถ่ายอุจจาระ อาจช่วยป้องกันการเกิดภาวะดีซ่าน และลดความรุนแรงลงได้


ข้อแนะนำ

ควรทำการตรวจดูอาการดีซ่านในทารกทุกรายตั้งแต่ระยะหลังคลอดจนพ้นระยะ 1-2 สัปดาห์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งใน 24 ชั่วโมงแรกหลังคลอด เนื่องจากมักมีสาเหตุร้ายแรง ซึ่งหากได้รับการรักษาแต่เนิ่น  ๆ จะสามารถช่วยให้อยู่รอดปลอดภัย และลดภาวะแทรกซ้อนทางสมองลงได้มาก

8
วัดปากน้ำ ภาษีเจริญ ทำบุญ ไหว้หลวงพ่อสด วัดดังกรุงเทพ

วัดปากน้ำ ภาษีเจริญ เป็นหนึ่งในวัดที่สำคัญและมีชื่อเสียงอย่างมากในกรุงเทพมหานคร โดยเฉพาะอย่างยิ่งเป็นศูนย์กลางการปฏิบัติธรรมตามแนววิชชาธรรมกาย และเป็นที่ประดิษฐานของ พระมงคลเทพมุนี (สด จันทสโร) หรือที่รู้จักกันในนาม หลวงพ่อสด ผู้ค้นพบวิชชาธรรมกาย ซึ่งเป็นที่เคารพสักการะของพุทธศาสนิกชนจำนวนมากค่ะ

ความสำคัญและสิ่งที่น่าสนใจของวัดปากน้ำ ภาษีเจริญ
วัดปากน้ำ ภาษีเจริญ เป็นวัดเก่าแก่ที่สร้างขึ้นตั้งแต่สมัยอยุธยาตอนปลาย ได้รับการบูรณปฏิสังขรณ์และพัฒนาอย่างต่อเนื่องจนเป็นวัดใหญ่และสำคัญในปัจจุบัน

พระมงคลเทพมุนี (สด จันทสโร) หรือ หลวงพ่อสด:

เป็นอดีตเจ้าอาวาสวัดปากน้ำ ภาษีเจริญ และเป็นผู้ค้นพบวิชชาธรรมกาย ซึ่งเป็นแนวทางการปฏิบัติวิปัสสนาที่เน้นการเข้าถึง "ธรรมกาย" ภายใน

ท่านเป็นที่เคารพศรัทธาอย่างสูงในด้าน เมตตาบารมี, การสอนธรรมะ, และพุทธคุณด้านความสำเร็จ, โชคลาภ, และการปลดเปลื้องทุกข์

ผู้คนนิยมมาสักการะรูปหล่อของหลวงพ่อสด และร่วมปฏิบัติธรรมตามแนวทางของท่าน


พระมหาเจดีย์มหารัชมงคล:

เป็นอาคารที่โดดเด่นและเป็นสัญลักษณ์ใหม่ของวัดปากน้ำฯ มีความสูงหลายชั้น ภายในประดิษฐานสิ่งศักดิ์สิทธิ์และจัดแสดงเรื่องราวทางพุทธศาสนา

ชั้น 1: เป็นที่ประดิษฐานองค์พระพุทธรูป และจัดแสดงนิทรรศการเกี่ยวกับวัดและหลวงพ่อสด

ชั้น 2-4: เป็นส่วนของพิพิธภัณฑ์ที่จัดแสดงวัตถุโบราณ ศิลปวัตถุ และของมีค่าต่างๆ

ชั้น 5 (ยอดเจดีย์): เป็นที่ประดิษฐาน พระพุทธรูปแก้วใส ที่งดงามตระการตา และเป็นจุดชมวิวที่สามารถมองเห็นทิวทัศน์ของกรุงเทพฯ ได้โดยรอบ

การได้ขึ้นไปกราบสักการะพระพุทธรูปแก้วใส และชมวิวจากด้านบน ถือเป็นประสบการณ์ที่น่าประทับใจ


พระอุโบสถ:

เป็นที่ประดิษฐานพระประธาน และเป็นสถานที่ประกอบศาสนพิธีสำคัญต่างๆ


บรรยากาศภายในวัด:

วัดปากน้ำฯ มีพื้นที่กว้างขวาง สะอาด และมีการจัดภูมิทัศน์ที่สวยงาม ร่มรื่น

เป็นศูนย์รวมของพุทธศาสนิกชนที่ต้องการมาทำบุญ ปฏิบัติธรรม และฟังธรรม


การเดินทางและการเตรียมตัว
ที่ตั้ง: ตั้งอยู่บนถนนเทอดไท แขวงปากคลองภาษีเจริญ เขตภาษีเจริญ กรุงเทพมหานคร


การเดินทาง:

รถไฟฟ้า BTS: ลงสถานี ตลาดพลู (S10) แล้วต่อรถสองแถว หรือแท็กซี่/Grab ไปยังวัด

รถไฟฟ้า MRT: ลงสถานี บางไผ่ (BL36) แล้วเดินเท้าต่อประมาณ 10-15 นาที หรือต่อรถสาธารณะไปไม่ไกล

รถเมล์: มีหลายสายที่ผ่าน เช่น สาย 4, 9, 43, 101, 147, 547

เรือด่วนคลองภาษีเจริญ: ลงที่ท่าเรือวัดปากน้ำ ภาษีเจริญ (เป็นวิธีที่สะดวกและได้บรรยากาศ)

แท็กซี่/Grab: สามารถเรียกไปได้โดยตรง

เวลาทำการ: เปิดทุกวัน เวลา 08.00 - 18.00 น. (โดยประมาณ สำหรับพระมหาเจดีย์ อาจมีเวลาปิดเร็วกว่า) ควรตรวจสอบเวลาทำการของแต่ละส่วนอีกครั้งก่อนเดินทาง

ค่าเข้าชม: เข้าชมฟรี


ข้อแนะนำเพื่อการเยี่ยมชมที่ดีที่สุด

แต่งกายสุภาพ: สวมเสื้อผ้าที่ปิดไหล่และเข่า (เสื้อมีแขน กางเกงหรือกระโปรงยาว) เพื่อแสดงความเคารพต่อสถานที่ศักดิ์สิทธิ์

ช่วงเวลาที่เหมาะสม: ควรไปในช่วงเช้าตรู่ หรือช่วงบ่ายแก่ๆ เพื่อหลีกเลี่ยงอากาศร้อนจัดและผู้คนหนาแน่น

เดินขึ้นพระมหาเจดีย์: ไม่ควรพลาดที่จะขึ้นไปชมพระพุทธรูปแก้วใสบนชั้น 5 และชมวิวกรุงเทพฯ จากมุมสูง

ทำบุญและปฏิบัติธรรม: ภายในวัดมีจุดทำบุญและกิจกรรมปฏิบัติธรรมต่างๆ ให้ได้ร่วมสร้างบุญและฝึกจิตใจ

ถ่ายภาพ: พระมหาเจดีย์เป็นสถาปัตยกรรมที่สวยงามและโดดเด่น มีมุมถ่ายรูปสวยๆ เยอะ

การมาเยือนวัดปากน้ำ ภาษีเจริญ จะทำให้คุณได้สัมผัสถึงความศรัทธาอันแรงกล้า ได้กราบสักการะหลวงพ่อสด และได้ชื่นชมความงดงามของสถาปัตยกรรมที่ทันสมัยผสมผสานกับพุทธศิลป์อย่างลงตัวค่ะ

9
จัดฟันบางนา: การดูแลรักษารากฟันเทียม ทำได้ยากหรือไม่

การรักษาด้วยการผ่าตัดฝังรากฟันเทียม เป็นการรักษาทางตัดกรรมอย่างหนึ่งที่ ช่วยให้ผู้ที่ต้องสูญเสียฟันธรรมชาติไปให้กลับมามีฟันที่สวยงามได้อีกครั้ง ซึ่งรากฟันเทียมนั้น เป็นวัสดุที่มีรูปร่างคล้ายรากฟันซึ่งทำมาจากไททาเนี่ยม เป็นวัสดุที่สามารถเข้ากับร่างกายมนุษย์ได้ดี ใช้สำหรับฝังลงไปในกระดูกขากรรไกรที่ใช้รองรับรากฟันเทียม เพื่อช่วยให้การทำรากฟันเทียมนั้น สามารถติดแน่นได้ ในปัจจุบันการสวมใส่รากฟันเทียมนั้น ถือว่าเป็นวิธีการใส่ฟันที่ดีที่สุดอีกวิธีหนึ่ง ซึ่งในแต่ก่อนมักจะนิยมใช้วิธีการสวมใส่ฟันปลอมเพื่อทดแทนฟันธรรมชาติที่สูญเสียไป ซึ่งการสวมใส่ฟันปลอมนั้นก็มีข้อผิดพลาดและ สามารถใช้งานได้ไม่ดีเท่ากับรากฟันเทียม เพราะการสวมใส่ฟันปลอมนั้น ก็อาจจะมีปัญหาในเรื่องของฟันปลอมคับหรือหลวมจนเกินไป ทำให้รับประทานอาหารได้ไม่สะดวกและส่งผลอาจจะทำให้เกิดแผลภายในช่องปากได้

และในปัจจุบันนี้การรักษาด้วยการผ่าตัดฝังรากฟันเทียม ก็เป็นอีกวิธีการหนึ่งที่มาทดแทน การสวมใส่ฟันปลอมและยังเป็นวิธีการที่มีประสิทธิภาพมากกว่า โดยมีข้อดีก็คือการฝังรากฟันเทียมนั้น จะช่วยทำให้ผู้เข้ารับการรักษาสามารถรับประทานอาหารได้อย่างเต็มที่ไม่ต้องกลัวว่าฟันปลอมจะหลุดขณะรับประทานอาหาร รวมไปถึง วิธีการดูแลรักษาก็ไม่ต้องซับซ้อนเหมือนกับการดูแลรักษาฟันปลอม ในวันนี้ทางคลินิกเราจะมาพูดถึงการดูแลรักษารากฟันเทียม ซึ่งใครที่กำลังตัดสินใจว่าจะเข้ารับการรักษาด้วยการผ่าตัดฝังรากฟันเทียม ก็อาจจะมีข้อสงสัยว่ารากฟันเทียมนั้นมีวิธีการดูแลอย่างไรและดูแลได้ยากหรือไม่ ซึ่งการดูแลรักษารากฟันเทียมนั้นก็ต้องขึ้นอยู่กับผู้เข้ารับการรักษาด้วยว่าจะมีวิธีการดูแลสุขภาพช่องปากและฟันอย่างไร

ก่อนที่จะมาถึงขั้นตอนการดูแลรักษารากฟันเทียมนั้น เราจะมาพูดถึงข้อดีของรากฟันเทียมก่อนสำหรับข้อดีของรากฟันเทียมนั้นก็คือ ช่วยเพิ่มความมั่นใจ เสริมสร้างบุคลิกภาพและทำให้ผู้เข้ารับการรักษามีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น นอกจากนี้ ยังทำให้ผู้เข้ารับการรักษามีฟันเทียมที่ดูเป็นธรรมชาติ สามารถใช้งานได้ใกล้เคียงกับฟันธรรมชาติมากที่สุด สามารถบดเคี้ยวและรับประทานอาหารได้ดี ไม่มีปัญหาในเรื่องของการออกเสียง หากเมื่อเทียบกับการทำฟันปลอมแล้ว นอกจากนี้ ผู้เข้ารับการรักษาไม่ต้องทำการกรอกฟันข้างเคียง อีกทั้งยังช่วยป้องกันการสูญเสียฟันและกระดูกข้างเคียงได้ด้วย

หากพูดถึงในแง่ของความสวยงาม การรักษาด้วยการผ่าตัดฝังรากฟันเทียมนั้น ถือเป็นวิธีที่เป็นธรรมชาติมากที่สุด ทำให้ผู้เข้ารับการรักษามีฟันที่สวยงามเป็นธรรมชาติ ทั้งยังช่วยเสริมสร้างสุขภาพช่องปากและฟันให้มีสุขภาพช่องปากที่ดี มีความคงทนถาวร รวมไปถึง ช่วยแก้ไขปัญหาฟันเทียมขยับระหว่างพูดคุยหรือรับประทานอาหารอีกด้วย สำหรับขั้นตอนการดูแลรักษารากฟันเทียมที่หลายคนสงสัยว่า สามารถทำได้วิธีใด ต้องบอกเลยว่าการดูแลรักษารักฟันเทียมก็สามารถทำได้ ด้วยการแปรงฟันให้สะอาด รวมไปถึงการใช้ไหมขัดฟันร่วมด้วย หากเราดูแลรักษาสุขภาพช่องปากและฟันได้ดีและถูกวิธีก็จะสามารถยืดอายุการใช้งานของรากฟันเทียมได้ด้วย เนื่องจากรากฟันเทียมนั้นทำมาจากวัสดุไทเทเนี่ยมที่มีความคงทน แต่อย่างไรก็ตาม อายุการใช้งานของรากฟันเทียมก็จะขึ้นอยู่กับการดูแลรักษาสุขภาพช่องปากและฟันของผู้เข้ารับการรักษาด้วย

หากรากฟันเทียมไม่ผุ แต่หากเกิดโรคเหงือกอักเสบ ก็อาจจะทำให้รากฟันเทียมเกิดการหลุดหรือติดเชื้อได้ ดังนั้น การดูแลรักษารากฟันเทียม ก็เหมือนกับการดูแลรักษาฟันธรรมชาติของเรา นอกจากนี้ผู้เข้ารับการรักษาจะต้องเข้ารับการตรวจสุขภาพช่องปากและฟันเป็นประจำ หากปฏิบัติตัวตามคำแนะนำของทันตแพทย์รากฟันเทียมนั้นก็จะอยู่ได้อย่างถาวรโดยไม่เกิดปัญหาใดๆ ทางคลินิก เราอยากให้ทุกคนหันมาใส่ใจในเรื่องของการดูแลรักษาความสะอาดของช่องปาก หากใครสนใจเข้ารับการรักษาด้วยการผ่าตัดฝังรากฟันเทียม ก็สามารถติดต่อขอรับคำแนะนำได้ที่คลินิกได้โดยไม่เสียค่าใช้จ่าย

10
มอเตอร์โชว์ MG นำ NEW MG CYBERSTER สีใหม่ และ NEW MG IM6 พวงมาลัยขวาโชว์ตัวจริงครั้งแรกในโลก

บริษัท เอสเอไอซี มอเตอร์ – ซีพี จำกัด และ บริษัท เอ็มจี เซลส์ (ประเทศไทย) จำกัด ผู้ผลิตและผู้จำหน่ายรถยนต์ เอ็มจี ในประเทศไทย จัดเต็มส่งท้ายปี เผยโฉมยนตรกรรมไฟฟ้าซีรี่ย์ใหม่ล่าสุดที่เข้ามาเติมเต็มในกลุ่มอีวีพรีเมี่ยม ด้วยจุดเด่นของเทคโนโลยีที่ล้ำสมัย และดีไซน์ใหม่ ไม่ซ้ำใคร ครั้งแรกของโลกกับ NEW MG IM6 รุ่นพวงมาลัยขวา และ NEW MG CYBERSTER สปอร์ตโรดสเตอร์พลังงานไฟฟ้า สีใหม่ โมเดิร์น เบจ ที่นำเสนอดีเอ็นเอแห่งความสปอร์ตคลาสสิก พร้อมยกขบวนยนตรกรรมครบทุกรูปแบบการขับเคลื่อนด้วยหลากหลายข้อเสนอพิเศษ ดอกเบี้ยพิเศษเริ่มต้น 0% นานสูงสุดถึง 5 ปี เพื่อให้ลูกค้ามีโอกาสเป็นเจ้าของรถยนต์ เอ็มจี ได้ง่ายขึ้น ในงาน Motor Expo 2024 ระหว่างวันที่ 29 พฤศจิกายน ถึง วันที่ 10 ธันวาคม 2567 ที่บูธ เอ็มจี หมายเลข A07 อาคารชาเลนเจอร์ 1 ศูนย์แสดงสินค้าและการประชุม อิมแพ็ค เมืองทองธานี

สำหรับงาน มหกรรมยานยนต์ ครั้งที่ 41 หรือ Thailand International Motor Expo 2024 ในครั้งนี้ ถือเป็นอีกหนึ่งช่วงเวลาสำคัญของแบรนด์ เอ็มจี ในการเดินหน้าสร้างแรงขับเคลื่อนครั้งใหม่ให้กับอุตสาหกรรมยานยนต์ไทย ด้วยการนำเสนอผลิตภัณฑ์ที่มีคุณภาพ ครอบคลุมทุกรูปแบบการขับเคลื่อน เพื่อให้ลูกค้าได้มีตัวเลือกเพิ่มมากขึ้น ซึ่งงานในครั้งนี้ เอ็มจี ได้เผยโฉม NEW MG IM6 รุ่นพวงมาลัยขวา เป็นครั้งแรกของโลก ชูจุดเด่นด้วยการเป็น The First Ever Intelligent e-SUV รถไฟฟ้าสุดล้ำที่เข้ามาเติมเต็มกลุ่มผลิตภัณฑ์อีวีพรีเมี่ยมภายใต้แบรนด์ เอ็มจี ไม่ว่าจะเป็น ดีไซน์การออกแบบล้ำสมัยที่โดดเด่นไม่ซ้ำใคร ระบบวิศวกรรมและสถาปัตยกรรมยานยนต์ที่มีประสิทธิภาพ ฟังก์ชันที่ครบครัน ที่มาเติมเต็มไลฟ์สไตล์ผู้ใช้งาน ให้สมบูรณ์แบบ NEW MG IM6 โดดเด่นด้วยดีไซน์ภายนอกโค้งมน และพลิ้วไหว มาพร้อมหน้าจอแสดงผลขนาดใหญ่ และระบบเครื่องเสียงพร้อมลําโพง 20 จุด สมรรถนะทรงพลังด้วยขุมพลังมอเตอร์คู่ ระบบขับเคลื่อน 4 ล้อ ให้พละกำลังสูงสุดที่ 787 แรงม้า (579 กิโลวัตต์) แรงบิดสูงสุด 800 นิวตันเมตร สามารถทำอัตราเร่ง 0 – 100 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ภายในเวลาเพียง 3.48 วินาที มาพร้อมแบตเตอรี่ความจุ 100 kWh สามารถชาร์จแบบเร็วสูงสุด 800 V (Quick Charge) จาก 10% - 80% ใช้เวลาประมาณ 18 นาที และให้ระยะทางมากกว่า 600 กิโลเมตร ต่อการชาร์จ 1 ครั้ง

ทั้งนี้ NEW MG IM6 ถือเป็นโมเดลแรกและหนึ่งเดียวในคลาสที่มีระบบบังคับเลี้ยว 4 ล้ออัจฉริยะ ทำให้การเปลี่ยนเลนมีเสถียรภาพแม้ในช่วงความเร็วสูง รวมถึงทำให้การกลับรถในที่แคบได้ง่ายมากยิ่งขึ้น นอกจากนี้ ยังมีระบบอัจฉริยะแสดงผลบนหน้าจอในขณะสภาพทัศนวิสัยมืดและฝนตก (Intelligent Rainy Night Mode)  ที่จะแสดงผลบนหน้าจอขนาดใหญ่ ช่วยเสริมความปลอดภัยขณะขับขี่ โดย เอ็มจี ได้เปิดโอกาสให้ลูกค้าได้ลงทะเบียนแสดงความสนใจล่วงหน้า ได้ที่ http://www.im6.mgcars.com/ ทั้งนี้ NEW MG IM6 มีกำหนดเปิดตัวและประกาศราคาอย่างเป็นทางการในประเทศไทยภายในครึ่งปีแรกของปี 2568

 และอีกหนึ่งไฮไลท์กับ NEW MG CYBERSTER สัญลักษณ์ยนตรกรรมที่ได้รับแรงบันดาลใจมาจากรถสปอร์ตโรดสเตอร์รุ่นคลาสสิกที่สร้างชื่อให้กับ เอ็มจี อย่าง MGB Roadster สู่ตำนาน สปอร์ตคลาสสิกบทใหม่ ด้วยการเป็นสปอร์ตโรดสเตอร์พลังงานไฟฟ้า 100% รุ่นแรกและเป็นรุ่นเรือธงของ เอ็มจี ที่ถ่ายทอดสปอร์ตดีเอ็นเอไว้ในงานออกแบบอย่างเต็มขั้น มาพร้อมกับสีใหม่ โมเดิร์น เบจ (MODERN BEIGE) ที่ถ่ายทอดดีเอ็นเอและจิตวิญญาณความสปอร์ตสุดคลาสสิก และยังคงความโดดเด่นในทุก ๆ ด้านไว้อย่างครบถ้วน ทั้งด้านการออกแบบที่สะกดทุกสายด้วยประตูปีกนกแบบปุ่มสัมผัสเปิด-ปิดอัตโนมัติ หลังคาซอฟต์ท็อปสีแดง อัดแน่นด้วยขุมพลังมอเตอร์คู่ ระบบขับเคลื่อน 4 ล้อ ให้พละกำลังสูงสุดที่ 544 แรงม้า (400 กิโลวัตต์) แรงบิดสูงสุด 725 นิวตันเมตร สามารถทำอัตราเร่ง 0 – 100 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ภายในเวลาเพียง 3.2 วินาที มาพร้อมแบตเตอรี่ Ultra-Thin Rubik's Cube ความจุ 77 kWh สามารถวิ่งได้ระยะทาง 503 กิโลเมตร ต่อการชาร์จ 1 ครั้ง ตามมาตรฐาน NEDC

นาย ซู๋ว หยิ่น กรรมการผู้จัดการ บริษัท เอ็มจี เซลส์ (ประเทศไทย) จำกัด และ รองกรรมการผู้จัดการ บริษัท เอสเอไอซี มอเตอร์ – ซีพี จำกัด เปิดเผยว่า “งาน Motor Expo 2024 ครั้งนี้ เอ็มจี มาพร้อมกับคอนเซ็ปต์ Empower the Future ตอกย้ำความมุ่งมั่นของแบรนด์ในการพัฒนายานยนต์ที่มีคุณภาพ หลากรูปแบบการขับเคลื่อนเพื่อให้สอดรับกับไลฟ์สไตล์ของผู้บริโภคได้อย่างครอบคลุมที่สุด รวมถึงการทำการตลาดในมุมมองใหม่ เพื่อขยายฐานและเข้าถึงกลุ่มคนรุ่นใหม่มากยิ่งขึ้น เพื่อให้สอดคล้องไปกับแนวทางและทิศทางของแบรนด์ เอ็มจี ที่ครบรอบหนึ่งศตวรรษในระดับสากล และก้าวสู่ทศวรรษที่ 2 ของการดำเนินธุรกิจในประเทศไทย โดย เอ็มจี ได้เดินหน้าแผนงานยานยนต์สีเขียว หรือ Green Mobility ให้เห็นอย่างเป็นรูปธรรม โดยกำหนดเป้าหมายในการนำเทคโนโลยีไฮบริดมาทดแทนเครื่องยนต์สันดาปภายใน ควบคู่ไปกับการเดินหน้านำเสนอยนตรกรรมพลังงานทางเลือกใหม่ ๆ เข้าสู่ตลาดอย่างต่อเนื่อง

รวมไปถึงความเคลื่อนไหวครั้งล่าสุดของ เอ็มจี กับความสำเร็จของ ALL NEW MG3 HYBRID+ ที่คว้ารางวัล THAILAND CAR OF THE YEAR 2024 และ เอ็มจี ยังได้รับรางวัล THAILAND CAR & MOTORCYCLE MARKETING AWARD 2024 โดย สมาคมผู้สื่อข่าวรถยนต์และรถจักรยานยนต์ไทย (สรยท.) ในฐานะแบรนด์ผู้สร้างมาตรฐานใหม่ด้านการรับประกันให้กับตลาดรถยนต์พลังไฟฟ้า ซึ่ง เอ็มจี ถือเป็นแบรนด์แรก และแบรนด์เดียวที่มอบการรับประกัน ตลอดอายุการใช้งาน (Lifetime Warranty) ของแบตเตอรี่ แรงเคลื่อนสูงของรถยนต์ไฟฟ้า พร้อมทั้งชุดมอเตอร์ขับเคลื่อน และชุดควบคุมมอเตอร์ขับเคลื่อน ที่ครอบคลุมกลุ่มรถไฟฟ้าในหลากหลายรุ่น สะท้อนให้เห็นถึงความตั้งใจในการดำเนินธุรกิจในประเทศไทย ควบคู่กับการยกระดับการบริการหลังการขาย เพื่อขับเคลื่อนอุตสาหกรรมยานยนต์ไทยให้เติบโตไปข้างหน้าอย่างไม่หยุดยั้ง”

นอกจากยนตรกรรมไฮไลท์ที่นำมาจัดแสดงแล้ว เอ็มจี ยังได้สร้างสรรค์แคมเปญพิเศษ NEW YEAR’S SUPER DEAL ที่เปิดโอกาสให้ผู้สนใจสามารถเป็นเจ้าของรถยนต์คุณภาพแบรนด์ เอ็มจี ได้ง่ายยิ่งขึ้น ด้วยหลากข้อเสนอสำหรับยนตรกรรมหลากรุ่น อาทิ ดอกเบี้ยเริ่มต้นพิเศษ 0% ผ่อนนานสูงสุด 5 ปี รวมถึงข้อเสนอช่วยผ่อนสูงสุด 5,000 บาท นานสูงสุด 20 เดือน ฯลฯ สำหรับลูกค้าที่จองตั้งแต่วันนี้

11
อาชีพเสริม จากมะขามป้อม สุดยอดสมุนไพรไทยช่วยลดไอ ลดอักเสบ เพิ่มออกซิเจนในเลือด

มะขามป้อมเป็นผลไม้สีเขียวขนาดเล็กที่มีรสเปรี้ยว ผลไม้ชนิดนี้เป็นผลไม้ประจำตำรับยาแผนไทยมาหลายศตวรรษ เนื่องจากมีประโยชน์ต่อสุขภาพมากมายและมีประโยชน์หลากหลาย มะขามป้อมเป็นผลไม้ที่มีรสเปรี้ยวอมฝาด มีวิตามินซีสูง มีสารแทนนินและอื่นๆอีกมากมาย มีสรรพคุณทางยามากมายช่วยกระตุ้นการทำงานของระบบขับถ่าย ช่วยลดระดับน้ำตาลในเลือด ช่วยบำรุงผิวพรรณ

แหล่งรวมสารอาหารสำคัญ
มะขามป้อมอุดมไปด้วยสารอาหารที่จำเป็น โดยเฉพาะวิตามินซีสารต้านอนุมูลอิสระ และโพลีฟีนอล นอกจากนี้ยังมีแร่ธาตุ เช่น แคลเซียม ธาตุเหล็ก และฟอสฟอรัส ซึ่งมีส่วนช่วยส่งเสริมสุขภาพโดยรวม

ประโยชน์ต่อสุขภาพ
เสริมสร้างภูมิคุ้มกัน
ด้วยปริมาณวิตามินซีที่สูง มะขามป้อมอินเดียจึงช่วยเสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกัน ช่วยให้ร่างกายต่อสู้กับการติดเชื้อและลดการอักเสบ

ผลไม้เป็นยาระบายตามธรรมชาติที่ช่วยบรรเทาอาการท้องผูกและปรับปรุงการย่อยอาหาร มีปริมาณไฟเบอร์สูง ซึ่ง
ส่งเสริมการขับถ่ายที่ดีต่อสุขภาพ

บำรุงผิวและผมให้แข็งแรง
มะขามป้อมเป็นส่วนผสมยอดนิยมในผลิตภัณฑ์เสริมความงาม ช่วยต่อต้านสัญญาณของวัย ช่วยให้ผิวเปล่งปลั่ง และเสริมสร้างรากผมให้แข็งแรงเพื่อลดการหลุดร่วงของเส้นผม

ควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด
งานวิจัยแสดงให้เห็นว่ามะขามป้อมอาจช่วยควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด จึงเป็นประโยชน์ต่อผู้ป่วยโรคเบาหวาน

ช่วยให้สุขภาพหัวใจดีขึ้น
คุณสมบัติต้านอนุมูลอิสระช่วยลดระดับคอเลสเตอรอลที่ไม่ดี และช่วยให้เลือดไหลเวียนดี ลดความเสี่ยงต่อโรคหัวใจและหลอดเลือด

วิธีใช้มะยมอินเดีย
การรับประทานแบบดิบ:รับประทานลูกเกดสดพร้อมเกลือเล็กน้อยเพื่อเพิ่มรสชาติเปรี้ยว
น้ำผลไม้:ปั่นผลไม้ให้เป็นน้ำผลไม้เพื่อให้เป็นเครื่องดื่มที่สดชื่นและเสริมสร้างสุขภาพ
ของว่างแห้ง:มะยมตากแห้งเป็นทางเลือกที่อร่อยและสะดวกในการเพลิดเพลินไปกับคุณประโยชน์ต่างๆ
อาหารเสริมจากสมุนไพร:สารสกัดจากลูกเกดมีจำหน่ายในรูปแบบแคปซูลและผงสำหรับรับประทานทุกวัน
การใช้เฉพาะที่:ใช้น้ำมันมะขามป้อมในการดูแลเส้นผมและหนังศีรษะ
ภูมิปัญญาไทยแบบดั้งเดิม
ในตำราแพทย์แผนไทย มะยมอินเดียมีคุณค่าเพราะช่วยปรับสมดุลธาตุในร่างกาย มักนำไปผสมกับสมุนไพรชนิดอื่นเพื่อรักษาโรคต่างๆ ได้อย่างมีประสิทธิภาพ

มะขามป้อม เป็นผลไม้ที่มีสรรพคุณทางยาสมุนไพรไทยแท้ๆ มะขามป้อมเป็นผลไม้ที่มีคุณประโยชน์ต่อสุขภาพมากมาย จึงถือเป็นสิ่งจำเป็นในกิจวัตรประจำวันเพื่อสุขภาพ ไม่ว่าจะรับประทานสด ตากแห้ง หรือเป็นอาหารเสริม มะขามป้อมเป็นผลไม้ที่มีคุณประโยชน์ต่อสุขภาพและมีชีวิตชีวาอย่างเป็นธรรมชาติ

12
บ้านเดี่ยว ณริณสิริ พระราม 9-กรุงเทพกรีฑา (Narinsiri Rama 9 - Krungthep Kreetha)
เริ่มต้น 40 ลบ. - 80 ลบ.

ณริณสิริ พระราม 9-กรุงเทพกรีฑา (Narinsiri Rama 9 - Krungthep Kreetha)
บ้านเดี่ยวโครงการใหม่ที่มาพร้อมกับคอนเซ็ปต์ "Lakeside Elegance" ดื่มดํากับวิวทะเลสาบ ภายใต้บรรยากาศสุดโรแมนติก ทำเลน่าอยู่ใจกลางกรุงเทพกรีฑา เพียง 500 เมตร จาก Little Walk กรุงเทพกรีฑา พร้อมสิ่งอำนวยความสะดวกครบครัน

รายละเอียดโครงการ
 ชื่อโครงการ            ณริณสิริ พระราม 9-กรุงเทพกรีฑา (Narinsiri Rama 9 - Krungthep Kreetha)
 เจ้าของโครงการ       แสนสิริ
 แบรนด์ย่อย            ณรินสิริ
 ราคา                    เริ่มต้น 40 ลบ. - 80 ลบ.

 ประเภทบ้าน           บ้านเดี่ยว
 ลักษณะทำเล         บ้านใกล้เมือง
 พื้นที่โครงการ          โปรดสอบถามข้อมูลกับทางโครงการ
 จำนวนบ้าน             โปรดสอบถามข้อมูลกับทางโครงการ
 แบบบ้านทั้งหมด       โปรดสอบถามข้อมูลกับทางโครงการ
  เนื้อที่บ้าน             โปรดสอบถามข้อมูลกับทางโครงการ
 พื้นที่ใช้สอย           โปรดสอบถามข้อมูลกับทางโครงการ
 จำนวนชั้น              โปรดสอบถามข้อมูลกับทางโครงการ
 หน้ากว้าง               โปรดสอบถามข้อมูลกับทางโครงการ
 จำนวนห้องนอน       โปรดสอบถามข้อมูลกับทางโครงการ
 จำนวนที่จอดรถ       โปรดสอบถามข้อมูลกับทางโครงการ
 สาธารณูปโภค

สถานที่ใกล้เคียง
 โซน       รามคำแหง, บางกะปิ, เสรีไท
 ที่ตั้ง       ถนนศรีนครินทร์-ร่มเกล้า แขวงสะพานสูง เขตสะพานสูง กรุงเทพมหานคร 10240

 ขนส่งสาธารณะ
ใกล้รถไฟฟ้า, รถไฟฟ้าAirport Rail Link, สถานี(สถานีปัจจุบัน)(หัวหมาก)
ใกล้ทางด่วน (ทางด่วนศรีรัช, มอเตอร์เวย์ กรุงเทพ-ชลบุรี, ทางด่วนกาญจนาภิเษก)
ใกล้ถนนสายหลัก (ถนนศรีนครินทร์, ถนนลาดพร้าว, ถนนพระราม 9, ถนนกาญจนาภิเษก, ถนนลาดกระบัง)
ขนส่งอื่นๆ ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ

 สถานที่สำคัญใกล้เคียง
ศูนย์การค้า/ไลฟ์สไตล์
1.ลิตเติ๊ล วอลค์ กรุงเทพกรีฑา 500 ม.
2.มาร์เก็ต เพลส กรุงเทพกรีฑา 2.5 กม.
3.เดอะ ไนน์ เซ็นเตอร์ พระราม 9 8.5 กม.
4.สนามกอล์ฟ ยูนิโก้ กอล์ฟ คอร์ส 5.4 กม.

สถานศึกษา
1.โรงเรียนนานาชาติ ไบรท์ตัน คอลเลจ 3 กม.
2.โรงเรียนนานาชาติ แมนดาริน 9.5 กม.
3.โรงเรียนนานาชาติ เวลลิงตันคอลเลจ 5.7 กม.
4.โรงเรียนนานาชาติแอสคอต 5.5 กม.

โรงพยาบาล
1.โรงพยาบาลสมิติเวช ศรีนครินทร์ 10 กม.
2.โรงพยาบาลเวชธานี 11 กม.
3.โรงพยาบาลกรุงเทพ 16 กม.
4.โรงพยาบาลพระราม 9 17 กม.

13
การตรวจฟันในเด็กเล็กก่อนเข้ารับการจัดฟันเด็ก

ในเรื่องของสุขภาพช่องปากและฟันของลูกน้อย ถือว่าเป็นสิ่งสำคัญที่พ่อแม่ผู้ปกครองควรจะที่เอาใจใส่ให้มากเป็นพิเศษ สุขภาพฟันถือว่าเป็นสุขอนามัยเบื้องต้น ที่เด็กจะต้องรักษาความสะอาดให้ดี เพราะถ้าหากเกิดฟันผุแล้ว คงไม่ดีต่อตัวเด็กแน่ๆ ดังนั้น พ่อแม่ผู้ปกครองควรที่จะพาเด็กไปพบทันตแพทย์ ก่อนที่ฟันน้ำนมจะขึ้นครบทั้งยี่สิบซี่ หรือเด็กมีอายุระหว่าง 2-3 ขวบ เมื่อไปพบทันตแพทย์ครั้งแรกนั้น ทันตแพทย์จะพุดคุยกับเด็กก่อน เพื่อสร้างความสนิทสนม สร้างทัศนคติที่ดีต่อสุขภาพช่องปากและฟัน จากนั้นก็จะแนะนำเครื่องมือในการทำฟันต่างๆให้กับเด็ก เพื่อให้เด็กเกิดความคุ้นเคยและไม่กลัว จากนั้นจึงจะตรวจฟันเด็ก และให้คำแนะนำกับผู้ปกครองเกี่ยวกับวิธีรักษาความสะอาดฟันของเด็ก ตลอดจนอาหารที่ควรรับประทานและการใช้ฟลูออไรด์ ควรพาไปพบทันตแพทย์เพื่อตรวจฟันอย่างน้อย ปีละ 1 ครั้ง นี่ถือว่าเป็นการเข้ารับการตรวจฟันทันตแพทย์ในเบื้องต้น เพื่อที่ทันตแพทย์จะได้แนะนำแนวทางในการดูแลรักษาความสะอาดของช่องปากและฟันให้เด็ก เพื่อสร้างความเข้าใจให้เด็กได้รับรู้ถึงความสำคัญของสุขภาพฟัน

แต่สำหรับเด็กที่มีปัญหาในเรื่องของฟันนั้น พ่อแม่ผู้ปกครองก็ควรที่จะพาบุตรหลานของท่านเข้ารับการจัดฟันในเด็ก แต่หลายคนอจจะกังวลและไม่ทราบว่า จะต้องพูดให้เด็กทำความเข้าใจเกี่ยวกับการรักษาจึงอาจจะรู้สึกหนักใจ วันนี้ทางคลินิกของเราจะมาพูดถึงเรื่องของการพาบุตรหลานเข้ารับการตรวจฟันก่อนเข้ารับการรักษาด้วยการจัดฟันในเด็ก เพื่อที่ให้พ่อแม่ผู้ปกครองได้เป็นแนวทางในการเตรียมตัวและปฏิบัติตัวก่อนพาบุตรหลานขรับการจัดฟันในเด็กกับทันตแพทย์จัดฟัน

ก่อนที่เราจะมาพูดถึงเรื่องของการพาบุตรหลานเข้ารับการตรวจฟันก่อนเข้ารับการจัดฟัน ทางคลินิกของเราจะมาพูดถึงเรื่องฟันน้ำนมของเด็กก่อน เพราะเนื่องจากพ่อแม่ผู้ปกครองหลายคนยังคิดว่า ฟันน้ำนมของเด็กนั้นไม่สำคัญ คิดว่าถ้าถอนทิ้งก็คงไม่เป็นไร เพราะเดี๋ยวก็มีฟันแท้ขึ้นมาแทน ซึ่งนั่นเป็นความเข้าใจผิด เพราะฟันน้ำนมมีบทบาทสำคัญมาก ต่อลักษณะการขึ้นของฟันแท้โดยตรงและถือว่ามีความสำคัญมาก เพราะถาฟันน้ำนมของเด็กหลุดก่อนวัยอันควร ก็อาจจะส่งผลทำให้เกิดภาวะฟันแท้หายได้เลย ซึ่งถือว่าเป็นอันตรายและส่งผลระยะยาวต่อสุขภาพฟันด้วย

ดังนั้น เด็กในวัยประถมที่ยังมีฟันน้ำนมก็สามารถจัดฟันได้แล้ว ไม่จำเป็นต้องรอจนถึงวัยรุ่น หลายปัญหาอาจสามารถหลีกเลี่ยง หรือลดความรุนแรงได้ หากได้รับการรักษาตั้งแต่เนิ่นๆ สำหรับ การตรวจฟันในเด็กก่อนที่จะเข้ารับการจัดฟัน พ่อแม่ผู้ปกครองคงจะต้องสร้างทัศนคติที่ดี พูดให้เด็กเข้าใจถึงผลลัพธ์ของการมีสุขภาพฟันที่ดี เพื่อลดความกังวลในเด็กเมื่อต้องเข้าพทันตแพทย์ การพาเด็กไปพบทันตแพทย์มีส่วนช่วยป้องกันฟันผุให้เด็กได้ โดยที่เด็กจะได้ประโยชน์จากการตรวจสภาพช่องปาก และจะทำให้ได้รับคำแนะนำที่เหมาะสมต่อการดูแลฟันเด็กในแต่ละคน ซึ่งเป็นโอกาสอันดีที่พ่อแม่ผู้ปกครองจะได้เรียนรู้ หรือฝึกการแปรงฟันให้เด็กได้ และยังมีส่วนช่วยให้เด็กเกิดความคุ้นเคยกับทันตแพทย์และให้ความร่วมมือที่ดีต่อการรักษาฟันต่อไป เมื่อถึงเวลาที่เข้ารับการจัดฟัน เด็กจะได้มีความคุ้นชินและลดคาวมกังวลลงได้นั่นเอง


สำหรับพ่อแม่ผู้ปกครองท่านใด สนใจพาบุตรหลานของท่านเข้ารับการจัดฟันในเด็ก สามารถพาเด็กเข้ามาตรวจกับทันตแพทย์ของทางคลินิกได้เลย เพราะทางเรามีทีมทันตแพทย์ที่มีความเชี่ยวชาญ พร้อมที่จะคอยให้คำปรึกษาในเรื่องของการดูแลรักษาความสะอาด พร้อมกับช่วยสร้างทัศนคติที่ดีต่อสุขภาพฟันให้เด็กได้ตระหนักรู้ถึงความสำคัญของสุขอนามัยในช่องปาก เพื่อให้เด็กได้มีสุขภาพช่องปากและฟันที่ดี และมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น เพราะเราอยากให้เด็กๆทุกคนมีรรอยิ้มที่สดใส มีพัฒนาการที่ดี สสามารถใช้ชีวิตประจำวัน ทำกิจกรรมในแต่ละวันได้อย่างเต็มที่และมีความสุข

14
รีไฟแนนซ์บ้านเพิ่มวงเงิน ที่ไหนดี? เปรียบเทียบข้อเสนอจากทุกธนาคาร

รีไฟแนนซ์บ้านเพิ่มวงเงิน เป็นการขอวงเงินสินเชื่อเพิ่มเติมจากการขอ รีไฟแนนซ์บ้าน ปกติ โดยใช้หลักทรัพย์เป็นบ้านที่ขอรีไฟแนนซ์ค้ำประกัน ซึ่งจะช่วยเพิ่มสภาพคล่องทางการเงิน เพราะเราสามารถนำเงินส่วนเพิ่มไปใช้จ่ายต่างๆ เช่นการซ่อมแซม หรือตกแต่งบ้าน นำไปลงทุน หรือแม้แต่เพื่อการชำระหนี้อื่นๆ ได้ โดยวงเงินเพิ่มที่ได้รับจะคิดอัตราดอกเบี้ยสูงกว่าวงเงิน รีไฟแนนซ์บ้าน แต่จะต่ำกว่าอัตราดอกเบี้ยวงเงินสินเชื่ออเนกประสงค์ ซึ่งจะมีทั้งแบบอัตราดอกเบี้ยคงที่ และอัตราดอกเบี้ยลอยตัว (ทั้งนี้ เราควรทำความเข้าใจเรื่องอัตราดอกเบี้ยก่อนตัดสินใจขอสินเชื่อ ด้วยนะคะ)

รีไฟแนนซ์บ้านเพิ่มวงเงิน ดีอย่างไร
ลดภาระยุ่งยากเรื่องเอกสาร และค่าธรรมเนียมต่างๆ เพราะเป็นการกู้เงินเพิ่มพร้อมกับการรีไฟแนนซ์บ้าน
คิดอัตราดอกเบี้ยแบบลดต้นลดดอก
ยอดผ่อนชำระต่อเดือนน้อย ระยะเวลาผ่อนนาน
ช่วยเสริมสภาพคล่องทางการเงิน โดยสามารถนำเงินไปใช้จ่ายต่างๆ เช่น ปิดหนี้บัตรเครดิต ใช้เพื่อต่อเติม หรือตกแต่งบ้าน หรือนำไปลงทุน เป็นต้น

📌ปักหมุด อัตราดอกเบี้ย รีไฟแนนซ์บ้านเพิ่มวงเงิน 2567
KKP Home Loan Refinance ธนาคารเกียรตินาคิน เป็นสินเชื่อรีไฟแนนซ์ที่ให้วงเงินสูง รับวงเงินกู้สูงสุด 100% ของราคาประเมิน วงเงินอนุมัติสูงสุด 50 ล้านบาท ดอกเบี้ยต่ำ โดยดอกเบี้ยพิเศษ เฉลี่ย 3 ปีแรก เริ่มต้น 3.30% ต่อปี* ผ่อนสบายขึ้น และสามารถขอวงเงินกู้เพิ่มได้ รู้ผลอนุมัติไวภายใน 3-7 วันทำการ สำหรับวงเงินที่ขอกู้เพิ่มเติมธนาคารจะคิดอัตราดอกเบี้ยแบบลอยตัว ดังนี้

 อัตราดอกเบี้ย :

หมายเหตุ :
*MLR = 8.175% ต่อปี (อ้างอิงตามประกาศธนาคาร ณ วันที่ 11 ต.ค. 66)
ระยะเวลาโปรโมชันเป็นไปตามที่ธนาคารกำหนด
สินเชื่อรีไฟแนนซ์บ้าน ธนาคารซีไอเอ็มบี ไทย อัตราดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปีแรกต่ำสุด 3.19% ต่อปี วงเงินสินเชื่อไม่ต่ำกว่า 3 ล้านบาท สัดส่วนวงเงินต่อมูลค่าหลักประกัน ไม่เกิน 85% ของราคาประเมิน สามารเลือกได้ทั้งการรีไฟแนนซ์แบบไม่เพิ่มวงเงิน หรือแบบเพิ่มวงเงิน พิเศษ! ฟรีค่าเบี้ยประกันอัคคีภัย (3 ปีแรก) ฟรีค่าประเมินหลักทรัพย์, ค่าอากรแสตมป์

 อัตราดอกเบี้ย :

หมายเหตุ :
*อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงตลอดอายุสัญญาอยู่ระหว่าง 6.26% - 6.99% ต่อปี ทั้งนี้ อัตราดอกเบี้ย MRR ณ วันที่ 4 ตุลาคม 2566 = 9.25% ต่อปี โดยอัตราดอกเบี้ยลอยตัวสามารถเปลี่ยนแปลงเพิ่มขึ้นหรือลดลงได้ตามประกาศธนาคารในเว็บไซต์ www.cimbthai.com หรือประกาศ ณ สาขาธนาคาร

ระยะเวลาโปรโมชัน : วันนี้ - 31 ธ.ค. 67
สินเชื่อรีไฟแนนซ์พลัส ธนาคารไทยเครดิต เป็นสินเชื่อแบบมีหลักประกัน ที่ต้องจดทะเบียนจำนองหลักทรัพย์เป็นประกันหนี้กับธนาคาร โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อรีไฟแนนซ์จากสถาบันการเงินอื่น พร้อมให้วงเงินส่วนเพิ่มเป็นวงเงินอเนกประสงค์ขั้นต่ำ 200,000 บาท*

 อัตราดอกเบี้ย :

 หมายเหตุ :
อัตราดอกเบี้ยอ้างอิง *MRR ของ บมจ.ธนาคารไทยเครดิต ครั้งที่ 5/2566 เริ่มใช้วันที่ 12 ตุลาคม 2566 ปัจจุบัน *MRR = 10.15% ต่อปี ซึ่งเป็นอัตราดอกเบี้ยลอยตัวสามารถเปลี่ยนแปลงเพิ่มขึ้นหรือลดลงได้
ระยะเวลาโปรโมชันเป็นไปตามที่ธนาคารกำหนด
สินเชื่อบ้านรีไฟแนนซ์ ธนาคารไทยพาณิชย์ เลือกผ่อนได้สบายตามความต้องการ ไม่ว่าจะเป็นกู้เพิ่มผ่อนเท่าเดิม หรือผ่อนน้อยลง ภาระลดลง เลือกระยะเวลาผ่อนชำระได้นานสุด 30 ปี โดยรวมระยะเวลาผ่อนชำระเมื่อรวมกับอายุของผู้กู้แล้วจะต้องไม่เกิน 65 ปี

 อัตราดอกเบี้ย :

หมายเหตุ :
อัตราดอกเบี้ยลูกค้ารายย่อยชั้นดี (Minimum Retail Rate : MRR ) เท่ากับ 7.30% ต่อปี มีผลวันที่ 3 ตุลาคม 2566 ทั้งนี้ อัตราดอกเบี้ย MRR ซึ่งเป็นอัตราดอกเบี้ยลอยตัว สามารถเปลี่ยนแปลงเพิ่มขึ้นหรือลดลงได้ตามประกาศของธนาคาร
อัตราดอกเบี้ยดังกล่าวมีผลในระหว่างวันที่ 8 กรกฎาคม 2567 – 30 กันยายน 2567
สินเชื่อบ้านแลกเงิน รีไฟแนนซ์ ทีทีบี ธนาคารทีทีบี วงเงินสินเชื่อขั้นต่ำ 500,000 บาท และสุงสุดไม่เกิน 15 ล้านบาท สามารถขอวงเงินสินเชื่อได้ 2 แบบ คือ 1. วงเงินสินเชื่อไม่เกินภาระหนี้ต้นเงินเดิม 2. วงเงินสินเชื่อที่เกินภาระหนี้ต้นเงินเดิม โดยธนาคารจะคิดอัตราดอกเบี้ยคงที่ 3 ปี ดังนี้

 อัตราดอกเบี้ย :

หมายเหตุ :
อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงตลอดอายุสัญญา 7.11% - 8.24% ต่อปี โดยอัตราดอกเบี้ย MRR = 7.83% ต่อปี ณ วันที่ 3 ต.ค. 66 *อัตราดอกเบี้ยลอยตัวสามารถเปลี่ยนแปลงเพิ่มขึ้นหรือลดลงได้

ระยะเวลาโปรโมชันเป็นไปตามที่ธนาคารกำหนด
สินเชื่อบ้านยูโอบี รีไฟแนนซ์ ธนาคารยูโอบี เป็นการย้ายสินเชื่อบ้านมาผ่อนกับธนาคารใหม่ ที่ให้ดอกเบี้ยถูกกว่า ทำให้ผ่อนชำระต่อเดือนน้อยลง ผ่อนหมดเร็วขึ้น หรือผ่อนนานขึ้น แล้วแต่ความต้องการและความสามารถในการผ่อนของผู้ขอรีไฟแนนซ์ และยังสามารถขอวงเงินกู้เพิ่มได้ด้วย กู้เพิ่มง่ายใช้จ่ายตามต้องการ ไม่จำกัดวัตถุประสงค์ในการกู้ อนุมัติวงเงินไม่เกิน 100% ของราคาประเมิน และ 85-90% สำหรับต่างจังหวัด เลือกผ่อนชำระเป็นรายเดือนได้นานสูงสุด 30 ปี สำหรับวงเงินกู้เพิ่มอเนกประสงค์ที่กู้พร้อม รีไฟแนนซ์บ้าน ธนาคารจะคิดอัตราดอกเบี้ย ดังนี้

 อัตราดอกเบี้ย :

 หมายเหตุ :
อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงตลอดอายุสัญญา อยู่ระหว่าง 7.21% - 7.29% ต่อปี *MRR = 8.80% ต่อปี
ระยะเวลาโปรโมชัน : วันนี้ - 28 มิ.ย. 67 และจดจำนองหลักประกันกับธนาคารภายในวันที่ 31 ก.ค. 67
สินเชื่อเคหะรีไฟแนนซ์ และกู้เพิ่มเติม ธนาคารออมสิน เป็นสินเชื่ออัตราดอกเบี้ยต่ำ ช่วยลดภาระการผ่อนชำระ ประหยัดค่าใช้จ่าย ผ่อนชำระได้นานสูงสุด 40 ปี วงเงินกู้รวมสูงสุด 110% ของราคาประเมินหลักทรัพย์ และสามารถกู้เพิ่มเติมเพื่ออุปโภคบริโภคได้

 อัตราดอกเบี้ย :

 หมายเหตุ :
ปัจจุบัน MRR เท่ากับ 6.595% ต่อปี (ตั้งแต่วันที่ 1 พฤษภาคม 2567 เป็นต้นไป) ทั้งนี้ อัตราดอกเบี้ยลอยตัวสามารถเปลี่ยนแปลงเพิ่มขึ้น หรือลดลงได้
อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงตลอดอายุสัญญา (EIR) อยู่ระหว่าง 5.472% – 5.965% คำนวณจากวงเงินกู้ 1 ล้านบาท ระยะเวลา 20 ปี แบบผ่อนชำระเท่ากับทุกงวด
ระยะเวลาโปรโมชันเป็นไปตามที่ธนาคารกำหนด

สรุปแล้ว...หากเรามีความจำเป็นต้องใช้เงินก้อน การเลือกสินเชื่อรีไฟแนนซ์บ้านเพิ่มวงเงินก็เป็นอีกหนึ่งตัวเลือกที่น่าสนใจค่ะ เหมาะสำหรับคนที่กำลังจะ รีไฟแนนซ์บ้าน เพราะเป็นสินเชื่อที่มีหลักทรัพย์ค้ำประกัน ทำให้อัตราดอกเบี้ยต่ำกว่าวงเงินอเนกประสงค์ทั่วไป และไม่จำกัดวัตถุประสงค์ในการกู้ ผู้กู้สามารถนำเงินไปใช้จ่ายได้ตามต้องการ แต่ทั้งนี้ ควรกู้เท่าที่จำเป็น และชำระคืนไหว ด้วยนะคะ

15
Doctor At Home: โลหิตจางจากภาวะขาดธาตุเหล็ก (Iron deficiency anemia)

ธาตุเหล็ก* เป็นองค์ประกอบสำคัญอันหนึ่งของการสร้างเม็ดเลือดแดง ถ้าร่างกายขาดธาตุเหล็กก็จะสร้างเม็ดเลือดแดงได้น้อยกว่าที่ร่างกายต้องการ ทำให้เกิดภาวะเลือดจาง** เรียกว่า โลหิตจางจากภาวะขาดธาตุเหล็ก

โรคนี้พบเป็นสาเหตุส่วนใหญ่ของภาวะโลหิตจางในบ้านเรา พบได้ในคนทุกวัย โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเด็กเล็ก วัยรุ่น หญิงในวัยมีประจำเดือน หญิงตั้งครรภ์ ผู้สูงอายุ และพบมากในชาวชนบทและคนยากจน

*ธาตุเหล็กนอกจากเป็นองค์ประกอบสำคัญของเม็ดเลือดแดงแล้ว ยังมีหน้าที่กระตุ้นการเจริญของเซลล์ต่าง ๆ ในร่างกาย ถ้าขาดธาตุเหล็กนอกจากทำให้โลหิตจางแล้ว เซลล์ต่อมรับรสที่ลิ้นและเล็บจะสร้างได้น้อย ทำให้ลิ้นเลี่ยน เบื่ออาหาร และเล็บอ่อนตัว

**ไขกระดูกมีหน้าที่สร้างเม็ดเลือดแดง ซึ่งต้องมีสารอาหาร ได้แก่ โปรตีนและธาตุเหล็กเป็นวัตถุดิบในการสร้างสารฮีโมโกลบิน (ซึ่งเป็นองค์ประกอบสำคัญของเม็ดเลือดแดง ทำหน้าที่นำออกซิเจนไปเลี้ยงเซลล์ทั่วร่างกาย) โดยมีกรดโฟลิก วิตามินบี 12 และฮอร์โมนอีริโทรพอยเอทิน (erythropoietin ซึ่งสร้างที่ไต) เป็นองค์ประกอบในกระบวนการสร้างเม็ดเลือดแดง หากมีความบกพร่องเพียงองค์ประกอบอันใดอันหนึ่ง เช่น ไขกระดูกไม่ทำงาน ไตวาย (สร้างอีริโทรพอยเอทินไม่ได้) ลำไส้ดูดซึมสารอาหารได้น้อย ขาดธาตุเหล็ก กรดโฟลิก วิตามินบี 12 หรือโปรตีน ก็จะทำให้สร้างเม็ดเลือดแดงไม่ได้ หรือได้น้อยกว่าปกติ เกิดภาวะโลหิตจางได้ ซึ่งมีลักษณะและชื่อเรียกแตกต่างกันไปตามสาเหตุ

สาเหตุ

1. เกิดจากการบริโภคอาหารที่มีธาตุเหล็กไม่เพียงพอกับความต้องการของร่างกาย เช่น กินเนื้อสัตว์ เครื่องในสัตว์ (ตับ ไต) นม ไข่น้อยเกินไป (อาหารเหล่านี้มีธาตุเหล็กมาก ซึ่งลำไส้สามารถดูดซึมไปใช้ประโยชน์ได้มากกว่าธาตุเหล็กที่อยู่ในพืชผัก) จึงทำให้ร่างกายขาดธาตุเหล็ก

ผู้ที่เบื่ออาหารจากการเจ็บป่วยเรื้อรังด้วยโรคอื่น ๆ หรือผู้สูงอายุที่กินอาหารได้น้อยหรือไม่ครบส่วน หรือผู้ที่กินอาหารพวกเนื้อ นม ไข่น้อย (ซึ่งธาตุเหล็กในเนื้อ นม ไข่ ร่างกายสามารถดูดซึมนำไปสร้างเม็ดเลือดแดงได้ดีกว่าธาตุเหล็กในพืชผัก) ร่างกายก็อาจได้รับธาตุเหล็กน้อยเกินไป

ผู้ที่บริโภคอาหารมังสวิรัติหรือแม็กโครไบโอติกส์ (macrobiotics) อย่างเคร่งครัดและไม่ถูกหลักโภชนาการ คือกินแต่พืชผักเป็นหลัก ก็อาจขาดธาตุเหล็กได้ เนื่องจากธาตุเหล็กในพืชผักถูกลำไส้ดูดซึมเข้าร่างกายได้น้อย โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้ากินพร้อมข้าวซึ่งมีสารไฟเทต (phytate) ที่ขัดขวางการดูดซึมธาตุเหล็ก

นอกจากนี้ เด็กในวัย 2 ขวบแรกและเด็กวัยรุ่นที่อยู่ในช่วงกำลังเจริญเติบโต รวมทั้งหญิงตั้งครรภ์ (ซึ่งมีความต้องการธาตุเหล็กเพิ่มขึ้นกว่าคนปกติ เพื่อนำไปใช้ในการเจริญเติบโตของทารกในครรภ์) ถ้าไม่ได้กินธาตุเหล็กเพิ่มขึ้น ก็มักจะเกิดภาวะโลหิตจางได้

2. การเสียธาตุเหล็กออกไปกับเลือด เช่น มีประจำเดือนออกมาก (พบได้บ่อยในหญิงวัยรุ่นและวัยเจริญพันธุ์) เลือดออกทางช่องคลอด (เนื่องจากแท้งบุตร คลอดบุตร หรือมะเร็งมดลูกหรือปากมดลูก) เลือดออกจากกระเพาะอาหาร (เช่น กระเพาะอาหารอักเสบ เป็นแผลหรือมะเร็งกระเพาะอาหาร ซึ่งมีอาการถ่ายอุจจาระดำแบบเรื้อรัง) เลือดออกจากลำไส้ใหญ่หรือทวารหนัก (เช่น เป็นริดสีดวงทวาร หรือมะเร็งลำไส้ใหญ่ ซึ่งมีอาการถ่ายอุจจาระเป็นเลือดแดงสดแบบเรื้อรัง) หรือเป็นโรคพยาธิปากขอ (ซึ่งดูดเลือดจากลำไส้) เป็นต้น ก็อาจทำให้เกิดภาวะโลหิตจางได้

อาการ

ผู้ป่วยจะมีอาการอ่อนเพลีย เหนื่อยง่าย ใจสั่น มึนงง หน้ามืด เวียนศีรษะ และมักมีอาการเบื่ออาหารร่วมด้วย (ยิ่งเบื่ออาหาร ก็ยิ่งทำให้ขาดธาตุเหล็กและทำให้ภาวะโลหิตจางยิ่งรุนแรงขึ้น)

ผู้ป่วยอาจมีประวัติเบื่ออาหาร ไม่กินเนื้อสัตว์ นมและไข่ หรือมีการเสียเลือดเรื้อรัง (เช่น มีประจำเดือนออกมาก ถ่ายอุจจาระเป็นสีดำหรือเป็นเลือดแดงสด)


ภาวะแทรกซ้อน

ส่วนใหญ่ไม่มีภาวะแทรกซ้อนที่ร้ายแรง นอกจากทำให้อ่อนเพลีย เหนื่อยง่าย ทำงานได้ไม่เต็มที่ ลดความสามารถในการเรียนรู้

อาจทำให้ร่างกายอ่อนแอ เฉื่อยชา ภูมิคุ้มกันต่ำ (เกิดโรคติดเชื้อง่าย) ถ้าเกิดการเจ็บป่วยหรือมีบาดแผล ก็มักจะฟื้นหายได้ช้า

ในหญิงตั้งครรภ์ อาจทำให้คลอดก่อนกำหนด และทารกน้ำหนักน้อย

ในเด็กเล็ก ทำให้มีการเติบโตและพัฒนาการช้า

ในผู้ป่วยที่เป็นโรคหัวใจอยู่เดิม ถ้าหากมีภาวะโลหิตจางรุนแรง อาจทำให้โรคหัวใจขาดเลือด มีอาการกำเริบ หรือทำให้เกิดภาวะหัวใจวายได้


การวินิจฉัย

แพทย์จะวินิจฉัยเบื้องต้นจากอาการ ประวัติการเจ็บป่วย และการตรวจร่างกาย ตรวจพบอาการซีดขาวของใบหน้า เยื่อบุเปลือกตา ริมฝีปาก ลิ้น ฝ่ามือ และเล็บ

ถ้าเป็นเรื้อรังอาจมีอาการลิ้นมันเลี่ยน มุมปากเปื่อย เล็บมีลักษณะอ่อนและแบน หรือเล็บเงยขึ้นมีแอ่งตรงกลางคล้ายช้อน เรียกว่า เล็บรูปช้อน หรือคอยโลนีเคีย (koilonychia)

ในรายที่มีภาวะโลหิตจางเล็กน้อย ซึ่งมักไม่มีอาการ การตรวจร่างกายจะไม่พบภาวะซีดชัดเจน มักจะตรวจภาวะโลหิตจางพบจากการตรวจเลือด (เช่น ขณะแพทย์ทำการตรวจเช็กสุขภาพด้วยสาเหตุอื่น)

แพทย์จะทำการวินิจฉัยให้แน่ชัดโดยการตรวจเลือด พบระดับฮีโมโกลบิน (hemoglobin) น้อยกว่า 12 กรัม/ดล. (ในผู้หญิง) น้อยกว่า 13 กรัม/ดล. (ในผู้ชาย) เม็ดเลือดแดงมีขนาดเล็ก (microcytosis) ติดสีจาง (hypochromia) มีหลากขนาด (anisocytosis) มีหลากรูป (poikilocytosis)

และตรวจพบระดับเฟอร์ริทิน (ferritin ซึ่งเป็นโปรตีนที่มีธาตุเหล็กและสะสมอยู่ตามเนื้อเยื่อต่าง ๆ) ในเลือดต่ำ สามารถตรวจพบตั้งแต่ระยะแรกของภาวะขาดธาตุเหล็ก หรือก่อนมีอาการปรากฏชัดเจน


การรักษาโดยแพทย์

1. สำหรับผู้ป่วยที่ไม่มีประวัติเป็นโรคเลือด (ธาลัสซีเมีย) ไม่มีประวัติการเสียเลือดเรื้อรัง (เช่น ถ่ายอุจจาระดำ หรือเป็นเลือดสด) และการเจ็บป่วยอื่น ๆ แพทย์จะให้ผู้ป่วยกินยาบำรุงโลหิต เช่น เฟอร์รัสซัลเฟต หรือเฟอร์รัสฟูมาเรต ครั้งละ 1-2 เม็ด วันละ 2-3 ครั้ง เป็นเวลา 1-2 สัปดาห์ พอเริ่มดีขึ้นผู้ป่วยจะกินข้าวได้ดีขึ้น (เบื่ออาหารน้อยลง) หน้าตามีเลือดฝาดดีขึ้น (ซีดน้อยลง) มีเรี่ยวแรงมากขึ้น และผลการตรวจเลือดดีขึ้น จะให้ยาต่ออีก 1-2 เดือน จนระดับฮีโมโกลบินขึ้นสู่ปกติหรือหายจากภาวะโลหิตจาง หลังจากนั้นควรกินยานี้วันละ 1-2 เม็ด ต่อไปอีก 3-6 เดือน เพื่อสะสมธาตุเหล็กในร่างกายให้เพียงพอ

ในบางรายแพทย์อาจให้กินวิตามินซี หรือแนะนำให้กินน้ำส้มคั้นหรือผลไม้ที่มีวิตามินซีสูงร่วมด้วย เนื่องด้วยวิตามินซีช่วยเสริมให้ลำไส้ดูดซึมธาตุเหล็กได้ดีขึ้น

2. ถ้าให้ยาบำรุงโลหิต 2 สัปดาห์แล้ว ภาวะโลหิตจางไม่ทุเลาหรือกลับแย่ลง หรือได้ประวัติเพิ่มเติมว่ามีการเสียเลือดเรื้อรัง สงสัยว่าเป็นโรคพยาธิปากขอ หรือสงสัยมีสาเหตุที่ร้ายแรงอื่น ๆ แพทย์จะทำการตรวจหาสาเหตุ (เช่น ตรวจเลือด ปัสสาวะ อุจจาระ ตรวจมดลูก เอกซเรย์ ส่องกล้องตรวจทางเดินอาหาร เป็นต้น) และให้การรักษาตามสาเหตุ เช่น โรคแผลเพ็ปติก ริดสีดวงทวาร โรคพยาธิปากขอ เนื้องอกมดลูก โรคดียูบี เป็นต้น

3. สำหรับผู้ที่เบื่ออาหารจากการเจ็บป่วยเรื้อรังด้วยโรคอื่น ๆ ผู้สูงอายุที่กินอาหารได้น้อยหรือไม่ครบส่วน หรือผู้ที่กินอาหารพวกเนื้อ นม ไข่น้อย หากตรวจพบว่ามีภาวะโลหิตจางจากภาวะขาดธาตุเหล็ก แพทย์ก็จะให้ผู้ป่วยกินยาบำรุงโลหิตแบบเดียวกับข้อ 1 ร่วมกับการดูแลรักษาโรคเรื้อรัง (ถ้ามี)

ผลการรักษา ส่วนใหญ่ช่วยให้ผู้ป่วยหายจากภาวะโลหิตจางได้ดี แต่ถ้าไม่ได้แก้ไขสาเหตุ หลังหยุดยาสักพักก็กลับมีอาการกำเริบได้ใหม่


การดูแลตนเอง

หากสงสัย เช่น มีอาการอ่อนเพลีย เหนื่อยง่าย หน้าตาซีดกว่าปกติ ควรปรึกษาแพทย์

เมื่อตรวจพบว่าเป็นโลหิตจางจากภาวะขาดธาตุเหล็ก ควรดูแลตนเอง ดังนี้

    ดูแลรักษา กินยา และปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์ 
    ติดตามรักษากับแพทย์ตามนัด

ควรกลับไปพบแพทย์ก่อนนัด ถ้ามีลักษณะข้อใดข้อหนึ่ง ดังต่อไปนี้

    กินยาบำรุงโลหิตแล้วมีผลข้างเคียง เช่น ปวดมวนท้อง คลื่นไส้ อาเจียน เป็นต้น แพทย์จะเปลี่ยนไปใช้ยาชนิดน้ำเชื่อมซึ่งมีผลข้างเคียงน้อยกว่าชนิดเม็ด
    กินยาบำรุงโลหิต 2 สัปดาห์แล้วไม่ทุเลา
    มีประวัติเสียเลือด เช่น ถ่ายอุจจาระดำ (ตั้งแต่ก่อนกินยาบำรุงโลหิต) หรือถ่ายเป็นเลือดสด ซึ่งไม่ได้แจ้งให้แพทย์ทราบตั้งแต่แรก (ผู้ป่วยอาจไม่ได้สังเกตเห็นแต่แรก หรือคิดว่าไม่สำคัญ หรืออายที่จะบอกให้ญาติและหมอทราบ)
    หากแพทย์ให้ยาอื่น (นอกเหนือจากยาบำรุงโลหิต) กินแล้วสงสัยเกิดผลข้างเคียงจากยา เช่น มีลมพิษ ผื่นคัน ตุ่มพุพอง ตาบวม ปากบวม คลื่นไส้ อาเจียน จุดแดงจ้ำเขียว หรือมีอาการผิดปกติอื่น ๆ

การป้องกัน

โรคโลหิตจางจากภาวะขาดธาตุเหล็กสามารถป้องกันได้ด้วยการกินอาหารที่มีธาตุเหล็กมาก (เช่น เนื้อสัตว์ ตับหมู ตับวัว เลือดหมู ไตหมู นม ไข่) และกินน้ำส้มคั้นหรือผลไม้ที่มีวิตามินซีสูง (เช่น ส้ม ฝรั่ง มะขามป้อม มะเขือเทศ สตรอว์เบอร์รี มะขามเปรี้ยว) ให้มาก ๆ ซึ่งจะช่วยให้ลำไส้ดูดซึมธาตุเหล็กได้ดีขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้หญิงที่ตั้งครรภ์ ผู้หญิงที่มีประจำเดือนออกมากทุกเดือน ทารก และวัยรุ่น ควรบำรุงอาหารเหล่านี้ให้มาก หรือกินยาบำรุงโลหิตตามคำแนะนำของแพทย์

สำหรับหญิงวัยเจริญพันธุ์ที่มีภาวะซีดขณะมีประจำเดือนออกมาก ควรให้กินยาบำรุงโลหิตวันละ 2-3 เม็ด ในช่วงที่มีประจำเดือน นานประมาณ 1 สัปดาห์

สำหรับผู้ที่กินอาหารมังสวิรัติ หากกินนมและไข่ได้ควรกินนมและไข่ให้มากพอ ส่วนผู้ที่ไม่กินนมและไข่ ควรกินพืชผักที่มีธาตุเหล็กสูง (เช่น ผักใบเขียว ถั่วเหลือง งา ลูกเกด เป็นต้น) และวิตามินซีให้มาก ๆ และควรตรวจเช็กเลือดดูว่ามีระดับฮีโมโกลบินปกติหรือไม่ ถ้าต่ำกว่าปกติ ควรปรับการบริโภคชนิดของอาหารให้เหมาะสม และควรปรึกษาแพทย์เพื่อให้กินยาธาตุเหล็กเสริม


ข้อแนะนำ

1. ผู้ป่วยที่มีอาการซีด (โลหิตจาง) นอกจากมีสาเหตุมาจากการขาดธาตุเหล็ก ยังอาจเกิดจากสาเหตุอื่น ๆ เช่น โรคธาลัสซีเมีย มะเร็งเม็ดเลือดขาว ไขกระดูกฝ่อ ไตวายเรื้อรัง เป็นต้น (ตรวจอาการ "ซีด")

2. ผู้ที่มีภาวะขาดธาตุเหล็กระยะเริ่มแรก หรือมีภาวะโลหิตจางเล็กน้อย (มีค่าฮีโมโกลบินต่ำกว่าค่าปกติเล็กน้อย) อาจไม่มีอาการผิดปกติ และตรวจไม่พบอาการซีดชัดเจนก็ได้ ดังนั้น ผู้ที่มีความเสี่ยงต่อการเกิดภาวะโลหิตจาง เช่น ผู้ที่กินอาหารที่มีธาตุเหล็กน้อย (เช่น กินอาหารมังสวิรัติแบบเคร่งครัด ผู้ที่ไม่กินเนื้อสัตว์ นม และไข่) วัยรุ่น วัยสาว หญิงตั้งครรภ์ ผู้สูงอายุ แม้จะรู้สึกสบายดี ก็ควรได้รับการตรวจเช็กระดับฮีโมโกลบินในเลือด เพื่อค้นหาภาวะโลหิตจางระยะเริ่มแรก

3. ผู้ที่มีโลหิตจางจากภาวะขาดธาตุเหล็ก เมื่อกินยาบำรุงโลหิต (ที่มีธาตุเหล็ก) มักจะมีอาการดีขึ้นใน 1-2 สัปดาห์ ถ้าไม่ทุเลาหรือกลับแย่ลง จำเป็นต้องตรวจหาสาเหตุเพิ่มเติม อาจมีภาวะขาดธาตุเหล็กจากการเสียเลือดจากสาเหตุต่าง ๆ หรือมีสาเหตุอื่นที่ไม่ใช่เกี่ยวกับการขาดธาตุเหล็ก เช่น ธาลัสซีเมีย มะเร็งเม็ดเลือดขาว ไตวายเรื้อรัง (พบในคนที่เป็นเบาหวาน ความดันโลหิตสูง โรคไตเรื้อรัง การกินยาแก้ปวดหรือยาแก้ข้ออักเสบนาน ๆ) เป็นต้น

4. ยาบำรุงโลหิต ซึ่งมีธาตุเหล็กเป็นองค์ประกอบ อาจระคายเคืองกระเพาะอาหาร ทำให้มีอาการปวดมวนท้อง คลื่นไส้ อาเจียน ท้องเดิน ท้องผูก ควรกินยานี้หลังอาหารทันที ถ้ามีอาการข้างเคียงดังกล่าว แพทย์แนะนำให้กินยาธาตุเหล็กชนิดน้ำเชื่อม ซึ่งมีผลข้างเคียงน้อยกว่าชนิดเม็ด

ยานี้ทำให้มีการถ่ายอุจจาระเป็นสีดำ (เนื่องมาจากสีของธาตุเหล็ก) ซึ่งไม่ถือว่าเป็นภาวะผิดปกติหรือมีอันตรายต่อร่างกายแต่อย่างใด

ที่สำคัญ ยานี้ห้ามใช้สำหรับผู้ที่มีโลหิตจางจากโรคธาลัสซีเมีย (ซึ่งมีอาการเรื้อรังมาตั้งแต่เล็ก) เพราะในร่างกายมีธาตุเหล็กเกิน (เนื่องจากการสลายตัวของเม็ดเลือดแดงที่มีรูปร่างผิดปกติ ด้วยอัตราที่เร็วกว่าคนปกติ ทำให้มีธาตุเหล็กออกมามากจนร่างกายขับออกไม่ทัน) การกินยาบำรุงโลหิตทำให้ร่างกายสะสมธาตุเหล็กเป็นพิษต่อร่างกายมากขึ้นได้

หน้า: [1] 2 3 ... 46