ผู้เขียน หัวข้อ: WHO ประกาศยุติภาวะฉุกเฉินโควิด-19 แล้ว หลังวิฤตนาน 3 ปี  (อ่าน 116 ครั้ง)

siritidaphon

  • Sr. Member
  • ****
  • กระทู้: 434
    • ดูรายละเอียด
WHO ประกาศยุติภาวะฉุกเฉินโควิด-19 แล้ว หลังวิฤตนาน 3 ปี

ยุติภาวะฉุกเฉินโควิด-19

เป็นอีกหนึ่งประกาศที่ช่วยให้หลายคนใจชื้นขึ้นมาหน่อย เมื่อองค์การอนามัยโลก (WHO) แถลงยุติภาวะฉุกเฉินของ Covid-19 ผ่านเว็บไซต์ในวันที่ 5 พฤษภาคม 2566 โดยระบุว่า โควิด-19 ไม่ถือเป็นภาวะฉุกเฉินด้านสาธารณสุขซึ่งเป็นข้อกังวลระหว่างประเทศอีกต่อไป (PHEIC)

หลังจากที่สถานการณ์โควิด-19 กลายเป็นภาวะวิกฤตระดับโลกมานานกว่า 3 ปี ตั้งแต่วันที่ 30 มกราคม 2563 ล่าสุด องค์การอนามัยโลกเผยว่า มีอัตราการเสียชีวิตจากโควิด-19 ลดลงมากกว่า 100,000 รายต่อสัปดาห์ในเดือนมกราคม 2564 และเหลือเพียง 3,500 รายต่อสัปดาห์เมื่อวันที่ 24 เมษายน 2566 ที่ผ่านมา สะท้อนให้เห็นถึงการได้รับวัคซีนอย่างแพร่หลาย การรักษาที่ดีขึ้น และภูมิคุ้มกันที่สูงขึ้นจากการติดเชื้อก่อนหน้า ซึ่งถือเป็นอีกจุดเริ่มต้นของความหวังครั้งใหม่

อย่างไรก็ตาม แม้ว่าภาวะฉุกเฉินจะสิ้นสุดลง แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าโรคโควิด-19 จะไม่เป็นปัญหาด้านสุขภาพอีกต่อไป เรายังคงต้องดูแลตัวเองอยู่เสมอ ด้วยการสวมหน้ากากอนามัย หมั่นล้างมือ เว้นระยะห่าง และอาจเข้ารับวัคซีนเข็มกระตุ้นหากสามารถทำได้ เพื่อลดความเสี่ยงจากเชื้อไวรัสที่ยังคงแพร่ระบาดอย่างต่อเนื่อง



Bivalent Vaccine วัคซีนเข็มกระตุ้นรุ่นใหม่

ปัจจุบันการระบาดของโควิด-19 ได้แพร่กระจายจนเกิดการกลายพันธุ์ของไวรัสหลากหลายสายพันธุ์ แม้ยอดการติดเชื้อจะลดลงแต่ก็ยังไม่สามารถไว้ใจความรุนแรงของไวรัสสายพันธุ์ใหม่ ๆ ที่จะเกิดขึ้นในอนาคตได้ การฉีดวัคซีนเข็มกระตุ้น จึงมีความสำคัญอย่างมาก โดยล่าสุดได้มีการนำเข้าวัคซีนรุ่นใหม่ วัคซีนชนิด bivalent ที่มีประสิทธิภาพและความปลอดภัยในระดับสูง


วัคซีนชนิด bivalent คืออะไร

วัคซีนไบวาเลนต์ (bivalent) เป็นวัคซีนแบบ 2 สายพันธุ์ ประกอบด้วย mRNA ของสายพันธุ์ดั้งเดิม และสายพันธุ์โอมิครอนอย่างละครึ่ง เพื่อนำมาใช้เป็นวัคซีนเข็มกระตุ้น โดยองค์การอาหารและยาแห่งสหรัฐอเมริกา (US FDA) ได้อนุมัติวัคซีนไบวาเลนต์ แล้วในเดือนสิงหาคมปี 2565 ทั้งของ Moderna และ Pfizer
ประสิทธิภาพของวัคซีน

ผู้ผลิตวัคซีนโมเดอร์นา (Moderna) และวัคซีนไฟเซอร์ (Pfizer) ได้เผยแพร่ผลการทดสอบ เมื่อเปรียบเทียบระดับภูมิคุ้มกันก่อนและหลัง คนที่ฉีดวัคซีนแบบ 2 สายพันธุ์ไบวาเลนต์ พบว่ามีระดับภูมิคุ้มกันสูงกว่าคนที่ฉีดวัคซีนรุ่นเก่าอย่างมีนัยยะสำคัญ

ปัจจุบันผู้เชี่ยวชาญทางการแพทย์ยังไม่สามารถยืนยันได้ว่าวัคซีนชนิด bivalent สามารถป้องกันการติดเชื้อและรักษาระดับภูมิคุ้มกันในระยะยาวได้ดีแค่ไหน ยังคงต้องศึกษาทดลองเพื่อพัฒนาต่อไป เพราะไวรัสกลายพันธุ์ตลอดเวลา


ผลข้างเคียงของวัคซีน

เมื่อเปรียบเทียบระดับผลข้างเคียงของวัคซีนรุ่นใหม่ (วัคซีนแบบ 2 สายพันธุ์) และรุ่นเก่า (วัคซีนสายพันธุ์เดียว) พบว่าวัคซีนรุ่นใหม่มีเปอร์เซ็นต์ผลข้างเคียงเพิ่มขึ้นและมีภูมิคุ้มกันเพิ่มขึ้น โดยมีอาการหลักที่เหมือนกัน ดังนี้

    อาการปวดบริเวณที่ฉีด
    อ่อนเพลีย
    ปวดศีรษะ
    ปวดกล้ามเนื้อ
    อาการบวม
    มีไข้


ใครควรฉีดวัคซีนเข็มกระตุ้น bivalent ก่อน

ปัจจุบันประเทศไทยได้เริ่มฉีดวัคซีน bivalent เป็นวัคซีนเข็มกระตุ้นแล้ว
กลุ่มเป้าหมายในการฉีดวัคซีนไฟเซอร์ bivalent เข็มกระตุ้น

    บุคลากรทางการแพทย์ และเจ้าหน้าที่ที่ต้องสัมผัสใกล้ชิดผู้ป่วยโควิด
    ผู้ป่วยกลุ่ม 608 คือ กลุ่มเสี่ยงที่อาจเกิดอาการป่วยรุนแรง อาทิ ผู้ที่มีอายุมากกว่า 60 ปี ผู้ป่วย 7 โรคเรื้อรัง หรือผู้ป่วยติดเตียง
    ประชาชนทั่วไปที่มีความเสี่ยง เช่น สัมผัสกลุ่มเสี่ยง สัมผัสนักท่องเที่ยว

ซึ่งผู้ที่สามารถฉีดวัคซีนเข็มกระตุ้น bivalent ต้องเข้าหลักเกณฑ์ ดังนี้

    รับวัคซีนโควิด 19 มาแล้วอย่างน้อย 2 เข็ม
    หากฉีดเข็มที่ 3 ต้องห่างจากเข็มที่ 2 อย่างน้อย 3 เดือน / หากฉีดเข็มที่ 4 ต้องห่างจากเข็มที่ 3 อย่างน้อย 4 เดือน
    หากเป็นผู้ที่ได้รับวัคซีนโควิด 19 มาแล้วและเคยติดเชื้อ ควรฉีดหลังติดเชื้ออย่างน้อย 6 เดือน

สรุป

แม้โควิด-19 จะมีสถานการณ์การแพร่ระบาดที่มีจำนวนผู้ติดเชื้อลดลง แต่การกลายพันธุ์ของโรคและการแพร่กระจายยังมีอยู่ การได้รับวัคซีนที่เหมาะสมจึงยังจำเป็นเพื่อพร้อมรับมือกับไวรัสโควิดสายพันธุ์ใหม่ที่อาจเกิดขึ้นได้ในอนาคต